รีวิว Love, Simon เพราะทุกคนคู่ควรกับความรักที่ยิ่งใหญ่
การมาถึงของหนังอย่าง Love, Simon นั้นแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่สตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่างทเวนตี้ เซนจูรี่ ฟอกซ์ เลือกจะสร้างหนังรักวัยรุ่น ที่มีตัวละครเอกของเรื่องเป็น “เกย์” หน้าตาดี หลายคนอาจจะสงสัยว่า ก็แล้วไงเหรอ จริงอยู่ที่อเมริกามีการสร้างหนังเกย์หลายต่อหลายเรื่อง บ่อยครั้งก็มีดาราฝีมือดีมากมายที่ผันตัวเองมารับบทเกย์ เพื่อท้าทายความสามารถของตัวเอง แต่ถ้าสังเกตให้คือ หนังในกลุ่มความหลากหลายทางเพศนั้นมักจะมาจากสตูดิโออิสระ ที่ไม่ได้มาจากสตูดิโอใหญ่ อีกทั้งหนังในกลุ่มนี้มักจะดำเนินพล็อตเรื่องที่ค่อนข้างจริงจัง เป็นหนังดราม่าซีเรียสที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับประเด็นเพศสภาพ
สำหรับ Love, Simon นั้นถ้าจะให้นิยามตามตรงก็คือมันเป็นหนังในหมวดหมู่หนังวัยรุ่นพบรักในไฮสคูล ตามแบบฉบับหนังทีนเอจหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น A Cinderella Story, The Princess Diary หรือ What A Girl Want เพียงแต่หนังเรื่องนี้ตัวเอกไม่ได้เป็นผู้หญิงอีกต่อไป หากเป็น “เกย์” ที่ตามหาความรักของตัวเอง
เมื่อมองเรื่องของไซมอน ในหนังเรื่องนี้ปมสำคัญที่ขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมด คือการที่ตัวเขาเองไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเขาเองว่าเป็น “เกย์” ให้ครอบครัวหรือเพื่อนบ้านรับรู้ แต่เขาดันไปตกหลุมรักกับใครไม่รู้ในอินเตอร์เน็ตที่เขียนเรื่องราวความรู้สึกที่อัดอั้นในจิตใจกับความเป็นเกย์ของตัวเอง จนกระทั่งเรื่องยุ่งยากก็เกิดขึ้นเมื่อไซมอนเผลอลืมล็อคเอาท์ออกจากระบบและทำให้เพื่อนตัวดี จะเอาข้อความของเขาในอินเตอร์เน็ตมาแบล็คเมล์การที่ไซมอนเป็นเกย์ ทำให้เขาต้องทำเรื่องทำร้ายจิตใจของคนรอบข้างโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ตลอดเวลาที่หนังดำเนินไป เราจะได้เห็นความพยายามต่อสู้ ดิ้นรนในการปกปิดสถานะของตัวไซมอน แต่ในขณะเดียวกันความรักระหว่างตัวเขา กับใครสักคนที่อ้างชื่อว่า “บลู” ในโลกออนไลน์กลับผลิบาน งอกเงย เขาเลือกจะเปิดเผยความรู้สึกเบื้องลึกในใจมากกว่าคนใกล้ตัวอีกด้วยซ้ำไป
หนังเรื่องนี้จึงทำให้เราเห็นว่าการ Coming out หรือการเปิดเผยเพศสภาพของคนๆหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และในสายตาของไซมอนก็พยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมการที่ตนเองเป็น “เกย์” นั้น ถึงแตกต่างและแปลกแยกจากคนรักต่างเพศ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นก็เป็นแค่เพียงความรักที่เขาชอบในผู้ชายเหมือนกันเท่านั้น
โชคดีของไซมอนที่เติบโตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่ได้เลวร้าย คนรอบข้างพร้อมที่จะเข้าอกเข้าใจใน “เพศสภาพ” ของเขา อย่างน้อยครอบครัวและเพื่อนสนิทต่างก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเป็นนั้นเป็นความผิดปกติหรือความน่ารังเกียจ แต่สิ่งที่ไซมอนต้องต่อสู้นั้น กลับเป็นความรู้สึกในจิตใจของเขาเองมากกว่า ว่าจะต้องรับมือกับความรักที่อาจจะสมหวัง หรือ ผิดหวัง แต่เหนืออื่นใดคือถึงแม้ว่าเขาจะได้ตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งหรือไม่ ไซมอนก็ถือว่าเขาเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ “ได้รับความรักอันแสนยิ่งใหญ่” จากคนใกล้ตัว ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ที่ไม่จำเป็นต้องหา “คนรัก” ในฐานะแฟนมาเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต