รีวิว Jurassic World ยิ่งคิดเยอะก็ยิ่งขำ

รีวิว Jurassic World ยิ่งคิดเยอะก็ยิ่งขำ

รีวิว Jurassic World ยิ่งคิดเยอะก็ยิ่งขำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มีสปอยล์

มีสปอยล์

มีสปอยล์

มีสปอยล์

มีสปอยล์

 

 

 

Jurassic World: Fallen Kingdom เป็นการตั้งชื่อตอนสานต่อมหากาพย์สวนสนุกไดโนเสาร์บนเกาะอิสลา นูบลาได้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งหนังภาคนี้ยังเล่นใหญ่ด้วยการทำลายเกาะไดโนเสาร์อันเป็นรากเหง้าของของหนังภาคดั้งเดิมอย่าง Jurassic Park 1-3 และ Jurassic World อย่างราบคาบ แต่แม้ว่าหนังจะตั้งโจทย์ใหญ่ได้น่าสนใจแค่ไหน สุดท้ายพล็อตเรื่องของหนังภาคนี้ยังมีโครงสร้างของบทภาพยนตร์ที่จัดได้ว่า “บ้าบอ” หนักกว่าเดิม

 

จุดพลิกผันของเรื่องที่คาดว่าคนดูหนังบล็อกบัสเตอร์มาบ้าง ก็น่าจะเดาได้กันอย่างถ้วนทั่วว่า ภารกิจไปช่วยเหลือไดโนเสาร์ของแคลร์ (ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด) และโอเวน (คริส แพรตต์) นั้นเป็นเรื่องปาหี่ตบตา เพราะจริงๆแล้ว ผู้อยู่เบื้องหลังการออกทุน อย่างอีไล มิลล์(ราฟ สปาล) มีแผนที่จะนำซาก DNA ของอินโดไมนัส เรกซ์ มาตัดต่อพันธุกรรมเข้ากับ DNA ของแร็ปเตอร์ (ซึ่งตัวที่รอดชีวิตอยู่บนเกาะเป็นตัวสุดท้ายก็คือเจ้าบลู) ไดโนเสาร์สัตว์เลี้ยงของโอเวน เพื่อสร้างไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ที่เหมาะไว้ใช้เป็นสัตว์สงคราม

 

 

เราไม่ปฏิเสธความบันเทิงของ Jurassic World: Fallen Kingdom แต่ก่อนที่เราจะทำเช่นนั้นได้คือเราต้องโยนตรรกะและความคิดในเรื่อง “โลกปัจจุบัน” ทิ้งไปให้หมด ในระดับที่เด็กนักเรียนมัธยมคงเกิดอาการอึ้งกิมกี่ เมื่อมหาเศรษฐีครึ่งค่อนโลกมีความคิดที่จะประมูลไดโนเสาร์กลายพันธุ์เพื่อนำไปใช้เป็นอาวุธสงคราม! ฮัลโหลช่วงเวลาในหนังก็คือปี 2018 และเป็นโลกปัจจุบันนี้ ยังมีใครเอา “สัตว์” ไปรบกันอยู่อีกหรือ? ไม่อย่างนั้นทุกวันนี้จะมีข้อพิพาทเรื่องนิวเคลียร์กันไปทำไม! เราอยู่ในยุคสมัยที่การทำสงครามคือการต่อสู้ทางเทคโนโลยี มากกว่าการโรมรันฟันแทงหรือควบรถม้าแล้วใช้กำลังพลยิงห่ากระสุนใส่กันแล้ว

 

ช่วงแรกของหนังกับส่วนภารกิจกู้ภัยไดโนเสาร์นั้น ซีเควนซ์แอ็คชั่นหลังจากที่ภูเขาไฟระเบิด จัดเป็นฉากระทึกขวัญ ตื่นเต้น ที่กินเวลาร่วม 20 นาที ซึ่งผู้กำกับอย่าง เจ.เอ. บาโยนา สามารถร้อยเรียงฉากเหล่านี้ให้มีกราฟความสนุก ตื่นเต้นได้เป็นอย่างดี และนั่นน่าจะเป็นข้อดีประการใหญ่ (ดอกจันทน์ไว้ได้เลย) ของหนังภาคนี้ ที่ทำให้เรามองข้ามบทภาพยนตร์ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตลกหนักขึ้นเท่านั้น

 

 

ความน่าหัวเราะเยาะประการถัดมาก็คือวิธีการที่หนังเลือกจะปิดซีเควนซ์ของหนังด้วยการเล่นใหญ่ (อีกแล้ว) ที่ว่าด้วยการปล่อยให้ไดโนเสาร์อีกประมาณหยิบมือกระจายตัวออกไปในเขตแดนของมนุษย์ในที่ต่างๆ ตามคอนเซปคำโปรยของหนังภาคนี้ที่ว่า “Life finds a way” หรือชีวิตย่อมหาหนทาง และนำไปสู่ “โจทย์” ของหนังภาคต่อไปที่ว่า ไดโนเสาร์จะไปสร้างเหตุการณ์วายป่วงอะไรให้กับมนุษย์อีก และในความเป็น Jurassic World แล้วคนเขียนบทภาคต่อไปจะมาทำยังไงให้เราเชื่อได้ว่า ไดโนเสาร์ซักกลุ่มก้อนหนึ่งจะเอาชนะมนุษย์และครองโลกได้แบบที่ตัวละครเอียน มัลคอม (เจฟฟ์ โกลด์บลัม) กล่าวว่า “จงระวังไดโนเสาร์เอาไว้ เพราะพวกมันเกิดก่อนพวกเรา และถ้าเราไม่ระวังพวกมันจะใช้ชีวิตหลังจากที่พวกเราจากไป”

 

แต่ก็นั่นแหละ พอกลับมานั่งคิดว่า ในยุคที่ประเทศมหาอำนาจ ทั้งอเมริกา จีน หรือกระทั่งเกาหลีเหนือมีอาวุธอย่างนิวเคลียร์ในกำมือ กับการจัดการไดโนเสาร์เพียงหยิบมือนั้น จะเป็นเรื่องยากแค่ไหนกัน หรือเราต้องทำหน้าซาบซึ้งและให้น้องเมซี่ (อิซซาเบลล่า เซอร์มอน) พูดประโยคสวยหรูกรอกหูคนดูว่า “เพราะไดโนเสาร์ก็มีชีวิตเหมือนหนู” แล้วเราจะได้ใจอ่อน

 

ถ้าเช่นนั้นลองคิดดูดีๆว่า ถ้าเป็นคุณต้องเลือกจะมีชีวิตรอดต่อไปบนโลกใบนี้ ระหว่างคนและไดโนเสาร์ คุณอยากจะอยู่หรืออยากจะเป็นฝ่ายสูญพันธุ์กันล่ะ!  

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook