รีวิว HOTEL ARTEMIS คนในไม่อยากออก คนนอกอยากเข้า

รีวิว HOTEL ARTEMIS คนในไม่อยากออก คนนอกอยากเข้า

รีวิว HOTEL ARTEMIS คนในไม่อยากออก คนนอกอยากเข้า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

 

ในโลกอนาคตข้างปี 2028 ประเทศอเมริกาน่าจะประสบความวุ่นวายครั้งใหญ่ แม้เราจะไม่ได้ทราบอะไรมากมายว่าสภาพบ้านเมืองนั้นเป็นอย่างไร แต่เหตุการณ์ในหนังทำให้เราเข้าใจได้พอสังเขปว่าเมืองลอสแองเจลิสกำลังมีเหตุจลาจล ขณะเดียวกันโรงแรม Hotel Artemis  ซึ่งชั้นบนสุดของโรงแรมถูกดัดแปลงเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางที่เปิดให้บริการแก่อาชญากรที่เป็นสมาชิกเท่านั้น

 

จีน โธมัส (โจดี้ ฟอสเตอร์) หรือที่ทุกคนเรียกเธอว่าคุณนางพยาบาล เธอคือผู้จัดการของ Hotel Artemis เธอต้องดูแลคนไข้ที่เป็นทั้ง นักฆ่า มือปืน ขโมย และชาวแก๊ง ทั้งห้องฉุกเฉินสุดล้ำที่สามารถปลูกถ่ายไตใหม่ให้ผู้ป่วยด้วยปริ้นเตอร์ 3 มิติ หรือฉีดนาโนบอทให้ผู้ป่วยเพื่อทำการรักษาจากภายใน ด้วยความช่วยเหลือจาก เอเวอร์เรสต์ (เดฟ บัลทิสต้า) ผู้ช่วยของเธอ แต่แล้วความวุ่นวายก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อโทรศัพท์สายสำคัญจากครอสบี้ แฟรงคลินท์ (แซคคารี ควินโต) ลูกชายของไนแองการ่า (เจฟฟ์ โกลด์บลัม) ที่ต้องการให้เธอเตรียมโรงพยาบาลให้พร้อมเพราะพ่อของเขากำลังเดินทางมารักษา โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีคนไข้บางรายที่อยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้แอดมิดเข้ามาเพื่อเตรียมสังหารเจ้าพ่อรายนี้โดยเฉพาะ

 

น่าเสียดายที่หนังแอ็คชั่น-มาเฟียเรื่องนี้จะปูเรื่องได้น่าสนใจ อีกทั้งยังมีการหยิบเอาเรื่องโลกอนาคตมาเป็นฉากหลัง แต่กลายเป็นว่าองค์ประกอบที่เสริมเข้ามานั้นจะไม่ค่อยมีความสำคัญกับเรื่องราวสักเท่าไหร่ เพราะถึงย้ายกลับมาให้เป็นช่วงเวลาปัจจุบันก็คงให้ความรู้สึกพอๆกัน เนื่องจากบทหนังดูจะไปโฟกัสกับอดีตอันบอบช้ำของนางพยาบาลเสียมากกว่า อีกทั้งตัวละครแวดล้อมก็ดูแห้งแล้งไร้มิติเอาซะเหลือเกิน ทั้งที่ในเรื่องนั้นมีตัวละครเด่นๆอยู่ไม่กี่คนไม่ว่าจะเป็น นีซ มือสังหารยอดฝีมือชาวฝรั่งเศส อคาพูลโก้ พ่อค้าอาวุธระดับนานาชาติ และสองพี่น้องนักปล้น ไวกิกิ และ โฮโนลูลู แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็แทบไม่ได้รู้จักพวกเขา เพราะบทสนทนาในเรื่องหลายช่วง ไม่ได้ขับเคลื่อนให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้าอย่างที่มันควรจะเป็น ส่งผลให้ช่วง 1 ชั่วโมงแรก กลายเป็นหนังตามติดชีวิตอาชญากรมานั่งบ่นปัญหาชีวิตกันซะมากกว่า

 

 

กว่าที่ฉากแอ็คชั่นจะเดินทางมาถึงก็ปาเข้าไปจนเกือบหนังจะจบเรื่องแล้ว และทุกอย่างก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนัก เนื่องจากคนดูก็รู้ตั้งแต่ช่วงต้นๆแล้วว่าใครโผล่มาหนังเรื่องนี้เพื่อมีหน้าที่อะไร เพียงแค่รอเวลาที่พวกเขาจะได้แสดงซีนเด่นก็เท่านั้น

 

ที่น่าผิดหวังไปมากกว่าบท คือการตัดต่อของเรื่อง ในเมื่อหนังเรื่องนี้อ้างอิงเหตุการณ์ภายใต้ช่วงเวลาหนึ่งค่ำคืน แต่หลายครั้งที่หนังใช้กลวิธี “โกงเวลา” จนคนดูรู้สึกได้ทันทีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันสองเหตุการณ์ใช้เวลาไม่เท่ากัน เช่นฉากที่ตัวละครตำรวจกำลังลงลิฟต์ด้านหลัง กับเหตุการณ์ที่จีนต้องมาเปิดประตูรับไนแองการ่า เหตุการณ์หลังควรจะกินเวลายาวนานกว่าการลงลิฟต์ แต่กลายเป็นว่าเมื่อหนังใช้วิธีการตัดสลับเหตุการณ์ จึงทำให้ “ช่วงเวลา” ดูไม่สม่ำเสมอกัน (ไม่ใช่แค่เพียงฉากนี้ฉากเดียว มีหลายครั้งที่เหตุการณ์บางอย่างก็ดูเป็นการตัดแปะด้วย)

โดยรวมๆ Hotel Artemis เป็นหนังที่มีพล็อตและวัตถุดิบที่น่าสนใจ แต่เมื่อเอามาขยายเป็นหนังความยาวชั่วโมงครึ่ง หนังควรจะมีรายละเอียดและความชัดเจนในการเล่าเรื่องมากกว่านี้  

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook