รีวิว Loving Pablo ประวัติราชายาเสพติดโลกที่โคตรบ้าจนคุณต้องเหวอ
หนังเล่าจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ชู้สาวของสองตัวเอก และลากยาวจนถึงจุดจบของราชายาเสพติดที่ทำให้ทั่วโลกต้องหวาดเกรงอย่าง ปาโบล เอสโกบาร์ (รับบทโดย ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) เจ้าพ่อแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่แห่งโคลอมเบีย ผู้ทรงอิทธิพลช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดยสัดส่วนโคเคน 80 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดทั่วโลกล้วนมาจากเขา เขาใช้เงินซื้อทุกสิ่งที่ขวางหน้า ซื้อใจคนยากไร้ และมันก็ทำให้เอสโกบาร์กลายเป็นอาชญากรผู้ทรงอิทธิพลที่ทั้งโลกต้องการตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมองผ่านสายตาของนักข่าวสาวสวยชาวโคลอมเบียผู้มีชื่อเสียง เวอร์จิเนีย วาเยโฮ (รับบทโดย เพเนโลเป้ ครูซ) ที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างแก๊งค้ายาเสพติดที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในโลกกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา เกิดเป็นการกวาดล้างที่เล่าขานเป็นตำนานจนถึงปัจจุบัน
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานล่าสุดของผู้กำกับ เฟอร์นันโด เรยอง เดอ อลานัวร์ ที่บ้านเราอาจไม่คุ้นหู แต่ที่สเปนเขาถือเป็นผู้กำกับแถวหน้าที่คว้ารางวัลจากเวที Goya Awards หรือสุพรรณหงส์ของสเปนอยู่เนืองนิจเลยทีเดียว รอบนี้เขาขอคว้าคู่สามีภรรยาที่ดังอันดับต้น ๆ ของโลกอย่าง ฮาเวียร์ บาร์เด็ม และ เพเนโลเป้ ครูซ มาขึ้นจอร่วมกัน โดยได้บทหนังจากการดัดแปลงหนังสือสารคดีชื่อดังอย่าง Loving Pablo, Hating Escobar เขียนโดยความทรงจำของ เวอร์จิเนีย วาเจโฮ อดีตชู้รักของราชายาเสพติดโลกชาวโคลอมเบีย มาถ่ายทอดเรื่องราวสุดน่าเหลือเชื่อแต่เกิดขึ้นจริงของบุรุษที่ถูกโลกหมายหัวมากที่สุดในยุคหนึ่งอย่าง ปาโบล เอสโกบาร์
หนังสือขายดีที่มาของหนังเรื่องนี้ด้วยความที่เกิดไม่ทันเรื่องราวของปาโบล ทุกห้องเวลาของหนังจึงเต็มไปด้วยความพิศวงใจ ว่าเรื่องราวบ้า ๆ ขนาดนี้เคยเกิดขึ้นจริงหรือนี่ ดังนั้นแม้หนังจะมีจังหวะการเล่าแบบดราม่านำ การตัดต่อและมุมกล้องไม่ได้เฟี้ยวฟ้าวเร้าใจ ซึ่งคงไม่ถูกจริตสายบู๊ล้างผลาญ หรือสายอาชญากรรมเท่ ๆ นัก แต่หนังก็น่าสนใจในตัวเองด้วยบทที่มาจากเรื่องจริง และการแสดงสุดดึงดูดใจของดาราเจ้าของรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์อย่าง บาเด็ม ในบทเจ้าพ่อยาเสพติดสุดโหดที่มีชีวิตหลากหลายมิติ รวมถึงความเก๋าในการถ่ายทอดตัวละครที่น่าหงุดหงิดใจอย่าง เวอร์จิเนีย ให้ออกมาลุ่มลึกและมีเสน่ห์ขึ้นได้ของ ครูซ ทั้ง 3 สิ่งนี้น่าจะเรียกว่า เดอะแบก ของหนังอย่างแท้จริง
นี่เป็นหนังดี ๆ อีกเรื่องที่เชื่อว่าหลายคนคงจะพลาดไปด้วยความคิดว่าน่าจะไม่สนุก และเป็นเรื่องห่างไกลตัวดูไม่น่าสนใจ แต่การเรียนรู้ชีวิตเจ้าพ่อยาเสพติดคนนี้กลับให้ข้อคิดหลายอย่าง รวมถึงความใกล้เคียงกับสังคมไทยอย่างไม่รู้ตัว ก็ชวนให้ครุ่นคิดตามและได้ข้อคิดดี ๆ จากหนังตามมามากมาย ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วคุณยังคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าเบื่อ ผมจะขอยกเหตุการณ์สุดเหลือเชื่อและสุดเจ๋งของหนังปาโบลเรื่องนี้มาให้คุณทราบเพียงเล็กน้อย แบบไม่เสียอรรถรสของหนัง
ปาโบลผันตัวเข้าสู่วงการการเมืองเพื่อหวังกีดกันกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างโคลอมเบียและสหรัฐ ในวันที่เขาเดินเข้าสู่รัฐสภาเขาถูกการ์ดสภาสั่งห้ามเข้า แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาคือคนชั่วช้าของแผ่นดิน หากแต่เพราะเขาไม่ได้ผูกเนกไทซึ่งเป็นธรรมเนียมของ ส.ส. ผู้ทรงเกียรติแค่นั้นเอง ประเพณีที่อยู่เหนือสามัญสำนึกนี่ประเทศเขาก็ไม่ต่างจากเราจริง ๆ
ปาโบลส่งโคเคนเข้าสู่สหรัฐได้ถึงวันละหลายสิบตัน โดยหลายวิธีการทั้งเรือดำนำ ทั้งเคลือบไปกับกางเกงยีนส์ แต่ในหนังเราจะได้ชมการใช้เครื่องบินขนส่งในแบบที่เราต้องอึ้งจริง ๆ เงินจากการค้ายาทำให้เขาถูกจัดอันดับเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกอันดับที่ 7 ติดต่อกันถึง 7 ปีซ้อน โดยนิตยสารฟอร์บส์ เขารวยมากพอที่จะสนับสนุนด้านการเงินให้ทั้งพรรครัฐบาลและฝ่ายค้านอยู่ข้างเขา และเคยเสนอจะชดใช้หนี้ของประเทศที่มากถึงราว ๆ หมื่นล้านเหรียญสหรัฐให้อีกด้วย เพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกจับส่งไปสหรัฐ เขายอมมอบตัวกับทางการโคลอมเบีย ด้วยเงื่อนไขข้อเดียว คือขอสร้างคุกอยู่เอง นอกจากรวย และบ้าแล้ว ต้องอินดี้เข้าขั้นจริง ๆ เขาสามารถตั้งตัวเป็นศัตรูของรัฐได้อย่างอุกอาจ ในขณะเดียวกันเขาคือพ่อพระของคนยากไร้ ขนาดว่าชาวบ้านมีรูปเขากราบบูชาในบ้านเลยทีเดียว หนังมีฉากที่ปาโบลลงโทษสมาชิกแก๊งค้ายา ในระดับที่โหดสาด ถึงภาพจะไม่ได้โชว์ชัด แต่ความรุนแรงนั้นทำเอาเบือนหน้าหนี ร้องอี๋ย์ ได้เหมือนกัน
แม้จะคลุกคลีกับโคเคนทุกวันหลายสิบปี แต่ปาโบลและครอบครัวไม่เคยเสพมันเลยแม้แต่นิดเดียว ราชายาเสพติดยังไม่เสพ แล้วเราจะไปเสพทำไมกันนะ
นี่อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีแบบคว้าออสการ์มากอด แต่มันก็เป็นหนังดี ๆ ที่ให้อะไรบางอย่างกับคนดูได้คิด ได้ตระหนักถึงโลกอีกมุมหนึ่ง รวมถึงบทเรียนชีวิตแบบสุดกู่ของคนร้ายที่มีทั้งด้านดีด้านเทาให้เห็น และเป็นอีกเรื่องที่เราอยากแนะนำให้หาโอกาสรับชมกันครับ