คู่รักลอยคอกับหนังที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริง Adrift

คู่รักลอยคอกับหนังที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริง Adrift

คู่รักลอยคอกับหนังที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริง Adrift
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นอกจากหนังชีวประวัติแล้ว การหยิบเอาเหตุการณ์จริงอันเป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นความพลังและอานุภาพของความรักและศรัทธาของมนุษย์ นำมาทำเป็นหนังก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ฮอลลีวูดนิยมสร้าง Adrift คือผลงานอีกเรื่อง ซึ่งหยิบเอาเรื่องราวของคู่รักที่ต้องเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์เรือแตก ผลงานการกำกับโดย บัลธาร์ซาร์ คอร์มาเกอร์ ผู้กำกับเลื่องชื่อจากภาพยนตร์เอาชีวิตรอดเรื่อง Everest

 

จากเรื่องจริงอันน่าเหลือเชื่อ

สองนักเดินเรือที่พร้อมจะออกเดินทางข้ามมหาสมุทร ทามี่ โอลด์แฮม (วู้ดลีย์) และ ริชาร์ด ชาร์ป (คลาฟลิน) ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพวกเขากำลังล่องเรือเข้าสู่หนึ่งในพายุเฮอริแคนที่รุนแรงที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ หลังจากพายุพัดผ่าน ทามี่ตื่นขึ้นมาพบว่าริชาร์ดบาดเจ็บสาหัสและเรือของพวกเขาเหลือแต่ซาก เมื่อไม่สามารถหวังให้ใครมาช่วยได้ ทามี่ต้องหาทางรวบรวมสติและความแข็งแกร่งเพื่อช่วยชีวิตชายคนเดียวที่เธอรัก

 

 

Adrift เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกับทามี่ โอลด์แฮม แอชดราฟต์ มันเต็มไปด้วยความดิบ ความโศกเศร้า และที่สำคัญคือแรงใจที่สามารถเอาชนะทุกอุปสรรค์ด้วยพลังแห่งรัก การเดินทาง 41 วันนับตั้งแต่เรือของเธอกลายเป็นซากไปจนถึงตอนที่เธอได้รับการช่วยเหลือ ในหนังสือของเธอที่ชื่อ “Red Sky in Mourning: A True Story of Love, Loss and Survival at Sea.”  และ “Red sky at night, sailor’s delight.  Red sky at morning, sailors take warning.”  เกี่ยวกับพายุเฮอริเคนในปี 1983 ที่จมเรือใบขนาด 44 ฟุตของทามี่และริชาร์ด คู่หมั้นของเธอ

ทามี่ตัดสินใจเล่าชีวิตของเธอหลังอุบัติเหตุครั้งดังกล่าว “สิบปีให้หลัง” โดยหนังสือเล่มดังกล่าวเป็นงานเขียนของเธอร่วมกับ ซูซี แม็คเกียร์ฮาร์ท ใช้เวลากว่าสี่ปีจึงเขียนเสร็จ หนังสือของเธอประสบความสำเร็จจนมีคนประกาศตัวว่าเป็นแฟนผลงานของเธอมากมาย นั่นรวมถึงพี่น้อง แอรอนและจอร์ดแดน คานเดลล์ ผู้เขียนบทของหนังเรื่อง ADRIFT

 

 

จาก MOANA สู่ Adrift

สองพี่น้อง แอรอนและจอร์ดแดน คานเดลล์ ได้รับว่าจ้างให้เขียนบทของ Adrift ในเวลาที่ไล่เลี่ยกับแอนิเมชั่นของค่ายดิสนีย์อย่าง MOANA ซึ่งเป็นเรื่องราวของ โมอาน่า หญิงสาววัยรุ่นเชื้อสายฮาวาย วัย 16 ปี ผู้เดินเรือออกไปสู่ภารกิจอันท้าทายเพื่อปกป้องผู้คนของเธอ ระหว่างการเดินทาง โมอาน่าได้พบกับมาวอิ มนุษย์ครึ่งเทพแห่งสายลมและท้องทะเล วีรบุรุษแห่งมวลมนุษย์ นำไปสู่การผจญภัยกลางท้องทะเล เมื่อเราพิจารณาความคล้ายคลึงของหนังสองเรื่องนี้ก็จะพบว่า ทั้งสองต่างเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับหญิงสาวที่ต้องออกไปผจญภัยกลางทะเล

 

 

วันที่ทั้งสองมือเขียนบททำบท MOANA เสร็จ สองพี่น้องจึงกลับไปเขียนบท Adrift ต่อทันที และเมื่อบทสำเร็จทั้งสองก็ไม่รอช้าที่จะส่งบทนี้ไปให้เพื่อนสนิทอย่างนักแสดงสาว เชย์ลีน วู้ดลีย์ ที่อยากจะรับบทเป็นแอชคราฟท์มาตลอดได้อ่าน

 

 

เชย์ลีน วู้ดลีย์ได้รับบทภาพยนตร์ในวันที่เธอถูกจับ

ถึงแม้ว่าเชย์ลีน วู้ดลีย์ จะเป็นคนแรกที่ได้รับบทภาพยนตร์ แต่เธอก็ไม่ได้ตอบตกลงจะรับเล่นในทันที เพราะในวันที่เธอได้รับบท เธอกำลังไปประท้วง! โครงการ Dakota Access Pipeline อย่างสันติ

 

 

แน่นอนว่าบทดังกล่าวค้างเติ่งอยู่ในอีเมล์นานนับเดือน จนกระทั่งหลายเดือนต่อมาเอเจนซี่โทรมาถามเธอว่า “เชย์ลีน เธอรู้จักแอรอนกับจอร์แดนไหม” เชย์ลีน ตอบว่า “แน่นอนเราซี้กันมากตอนฉันอยู่ที่ฮาวายช่วงที่ถ่ายหนัง The Descendants” เอเจนซี่ถามว่าเธอได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่อง Adrift แล้วหรือยัง เชย์ลีนจึงนึกขึ้นได้ว่าบทดังกล่าวค้างอยู่ในกล่องจดหมายในอีเมล์ของเธอ! และทันทีที่เธออ่านบทจบ เธอตัดสินใจแสดงหนังเรื่องนี้ทันที

 

 

การค้นหาตัวริชาร์ด แฟนหนุ่มของทามี่

ริชาร์ด เขาคือตัวตั้งตัวตีให้ออกทริปกลางทะเลที่เกือบจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม แอชคราฟต์มอบความรักที่ไม่มีข้อแม้ให้กับเขา พวกเขาผูกพันกันตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นหน้า ในหนังสือเธอบรรยายครั้งแรกที่เธอได้พบเขาว่า ฉันแทบเข่าอ่อน หน้านี่แดงไปหมด ฉันงงตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเขินขนาดนี้แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ได้ เขาโดนใจฉันไม่เหมือนผู้ชายคนไหนที่ฉันเคยเจอมาก่อน

ทีมงานตัดสินใจเลือกนักแสดงหนุ่มอย่างแซม คลาฟลิน ซึ่งทั้งคู่ต้องซ้อมด้วยกันถึงสองสัปดาห์ ก่อนการถ่ายจริงเพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน เนื่องจากจะต้องรับบทเป็นคู่รักกันนั่นเอง เพื่อให้มันใจว่าตัวละครจะพัฒนาไปในทางที่ทุกคนคาดไว้ ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ทำให้มันออกมาดูจริง ก่อนที่เราจะต้องออกเรือ

ความหวานระหว่างริชาร์ดและทามี่ทำเป็นเหตุผลที่ทำให้คลาฟลินเข้าร่วมโปรเจคต์ “ผมเลือกรับบทจากตัวละครที่ผมต้องการเล่น แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ของเรื่องนี้คือผมเริ่มอ่านมันผ่านสายตาของทามี่ด้วยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหนียวแน่นมาก ผมตกหลุมรักพวกเขาและเอาใจช่วย หลังจากที่ผมทำการบ้านหาข้อมูล เรื่องราวมันยิ่งน่าติดตามกว่าเดิม ผมรู้ว่ามันง่ายมากที่จะตกหลุมรักเชย์ลีน แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ” คลาฟลินกล่าว

 

 

เมื่อทามี่ตัวจริงเดินทางมายังกองถ่ายหนัง

เมื่อ Adrit ถ่ายทำไปได้ครึ่งเรื่อง ทามี่ตัวจริงได้เดินทางมาเยี่ยมที่กองถ่าย เธอไม่กลัวว่าจะได้เห็นภาพโศกนาฎกรรมที่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตเธออีกครั้ง และเธอพบว่าจะสามารถหาหนทางเพื่อเยียวยาตัวเองจากเรื่องร้ายๆได้ แทมมี่ยังเล่าถึงความรู้สึกว่า ตอนที่ฉันมาที่กองถ่ายฉันเห็นเชย์ลีนอยู่บนซากเรือฮาซาน่า มันเหมือนวิญญาณฉันหลุดจากร่าง หัวใจฉันเหมือนโดนขยี้ ในตอนนั้นมันเป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจว่าจิตใจที่แข็งแกร่งมันสำคัญมากในการเอาตัวรอด การได้กลับมาเห็นอะไรแบบนี้ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าฉันโชคดีแค่ไหนที่รอดมาได้

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook