เรื่องไม่ลับกับความสำเร็จของ Mission: Impossible – Fallout

เรื่องไม่ลับกับความสำเร็จของ Mission: Impossible – Fallout

เรื่องไม่ลับกับความสำเร็จของ Mission: Impossible – Fallout
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การเดินทางอันแสนยาวนานของ Mission: Impossible อีกหนึ่งหนังแฟรนชายส์สายลับที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมากว่าสองทศวรรษ กับดาราหนุ่มที่เป็นเอกลักษณ์ประจำแฟรนชายส์นี้อย่าง ทอม ครูซ

ภาพยนตร์ Mission: Impossible ออกฉายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539 เมื่อ 22 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับสกอร์ประจำเรื่องที่กลายเป็น ดนตรีประกอบสุดฮิตตลอดกาล และในภาค Fallout ทอม ครูซ และผองเพื่อน ยังคงกลับมาปฏิบัติภารกิจอันแสนเหลือเชื่ออีกครั้ง

 

การเดินทางอันแสนยาวนานของทอม ครูซ

นอกจาก ทอม ครูซ จะนำแสดงในหนังเองแล้ว เขายังดำรงตำแหน่งโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ Mission: Impossible – Fallout อันถือเป็นบทสรุปของภาพยนตร์หลายภาคที่ผ่านมาของแฟรนไชส์นี้
“คุณจะได้เห็นตัวละครต่างๆ ที่ถูกนำกลับมาและเส้นเรื่องต่างๆ ที่ถูกนำมาสู่บทสรุปครับ” เขากล่าว


ในตอนเริ่มต้นเรื่อง หนังสือเรื่อง The Odyssey ถูกเลือกมาด้วยเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงมากๆ การเดินทางที่ อีธาน ฮันท์ ตัวละครของผมและทีมของเขาต้องเจอเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ที่ได้แรงบันดาลใจและสะท้อนถึงเรื่องราวนั้น มันเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่ และมันก็มีส่วนเกี่ยวข้องทางอารมณ์มากมายสำหรับตัวละครครับ” - ทอม ครูซ

 

เกร็ดความรู้

The Odyssey เป็นบทประพันธ์มหากาพย์กรีกโบราณหนึ่งในสองเรื่องของโฮเมอร์ บทกวีเล่าเรื่องราวต่อจากมหากาพย์อีเลียด ว่าด้วยการเดินทางกลับบ้านที่อิธาคาของวีรบุรุษกรีกชื่อ โอดิซิอุส (หรือยูลิซีส ตามตำนานโรมัน) หลังจากการล่มสลายของกรุงทรอย การเดินทางครั้งนี้โอดิซิอุสใช้เวลารอนแรม ผจญภัยฝ่าอันตรายกินเวลากว่านับสิบปี เพื่อจะเดินทางกลับไปหาคนรักที่รอเขาอยู่ที่บ้าน ซึ่งบทกวีเล่มนี้แสดงให้เห็นถึงความฉลาด มีไหวพริบโอดิซิอุสและยังเป็นการสะท้อนวัฒนธรรม ความเชื่อของชาวกรีกโบราณเอาไว้ด้วยนั่นเอง

 

มือเขียนบทและผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ ตั้งข้อสังเกตว่าทอม ครูซ ผู้เริ่มต้นแฟรนไชส์นี้ไว้ในปี 1996 มีความเข้าใจที่ไม่มีใครเทียบ เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์ Mission: Impossible ประสบความสำเร็จ โดยในแต่ละภาค ทอม ครูซ พยายามทำให้เรื่องราวมีความตื่นเต้นและเข้มข้นมากกว่าเดิม แต่สิ่งสำคัญคือการที่หนังไม่ลืมผู้ชมและมอบความบันเทิงอันเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงให้กับคนดู

ความแปลกใหม่ของ Mission: Impossible – Fallout คือการที่ผู้กำกับอย่าง คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ พยายามสำรวจเรื่องราวในแง่ความมืดหม่นและมีความเป็นมนุษย์มากกว่าของตัวละครเอกของเรื่อง ครั้งนี้การเข้าไปในความคิดของอีธาน (และหนังก็ถ่ายทอดเรื่องความฝัน จินตนาการล่วงหน้าในเหตุการณ์ต่างๆอยู่บ่อยครั้ง) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความผูกพันที่เขามีต่อคนอื่นๆ หัวใจสำคัญของเรื่องราวนี้คือการตัดสินใจที่เจ็บปวดของฮันท์ ที่ตามมาหลอกหลอนเขา ในตอนแรก เราพบว่าอีธานกำลังตกที่นั่งลำบาก เขาได้ทำผิดพลาด และเขาก็เจอกับเรื่องต่างๆ ในอดีต ที่มีผลกระทบทางอารมณ์ เขาต้องตัดสินใจว่า เขาจะช่วยเพื่อนและครอบครัว หรือจะช่วยคนเป็นล้านๆ คนจากอำนาจทำลายล้างที่เขากำลังต่อสู้อยู่ เขาจะต้องทำการล้วงลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของตัวเอง

ด้วยคำขอของ ทอม ครูซ ในการนำผู้กำกับคนเก่าอย่าง คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ ซึ่งเคยกุมบังเหียนภาคก่อนอย่าง Rogue Nation ไว้และประสบความสำเร็จทั้งคำวิจารณ์รวมถึงการทำเงินทั่วโลก แม็คควอร์รีย์ จึงได้สถิติผู้กำกับคนแรกที่ได้กลับมากำกับแฟรนชายส์นี้เป็นครั้งที่สอง โดยเขาต้องยอมรับเงื่อนไขที่ว่า เขาจะต้องรักษาจิตวิญญาณของธรรมเนียมนั้นไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงภาษาภาพวิชวลจากภาคที่แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งที่สองที่ทอมร่วมงานกับแม็คควอร์รีย์ ทั้งสองเคยร่วมงานครั้งแรกจาก ภาพยนตร์แอ็กชั่นทริลเลอร์ปี 2012 เรื่อง Jack Reacher

 

ถ้ามองย้อนกลับไปคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ เคยคว้ารางวัลออสการ์จากการเขียนบทภาพยนตร์ The Usual Suspects ในปี 1995 ผลงานการกำกับของไบรอัน ซิงเกอร์ แม้ว่าบทจะเป็นรูปเป็นร่างแค่ไหนก็ตาม แต่ แม็คควอร์รีย์ ก็มีการปรับเปลี่ยนบทระหว่างการถ่ายทอยู่ตลอดเวลา เพื่อสร้างตัวละครที่ฉลาด อีกทั้งยังพาตัวละครเหล่านี้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันแสนตึงเครียด และผู้ชมจะได้เห็นการเอาชีวิตรอดด้วยการปรับตัว พัฒนาตัวเอง ซึ่งแน่นอนวิธีการทำงานแบบนี้ท้าทายความสามารถของนักแสดง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือการสร้างตัวละครที่มีมิติความเป็นมนุษย์มากขึ้นนั่นเอง ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผู้ชมถึงหลงรัก ตัวละครต่างๆในหนังเรื่องนี้มากขึ้น

ในภาพยนตร์ Mission: Impossible ทุกภาคจะมี ทอม ครูซ มาแสดงสตันท์ท้ามฤตยูที่ตราตรึงใจ ใน Mission: Impossible – Ghost Protocol สตันท์ที่ว่าคือ การปีนตึกเบิร์จ คาลิฟาในดูไบ ซึ่งเป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก ใน Mission: Impossible – Rogue Nation มันเป็นการเกาะประตูเครื่องบินขนส่งทางทหารแอร์บัส เอ400เอ็ม แอตลาสตอนที่เครื่องกำลังขึ้น สำหรับ Mission: Impossible – Fallout ครูซและแม็คควอร์รีย์ได้ยกระดับความตื่นเต้นขึ้นไปอีกด้วยการคิดสตันท์ที่ลืมไม่ลงหลายต่อหลายครั้ง ที่เชื่อแน่ว่าจะทำให้ผู้ชมต้องลืมหายใจ ไม่ว่าจะเป็นฉากเฮลิคอปเตอร์ไล่ล่า ฉากซิ่งมอเตอร์ไซต์กลางกรุงปารีส และอีกมากมายซึ่งในหลายฉากทอม ครูซก็ล้วนแล้วแต่จะตัดสินใจแสดงฉากผาดโผนเสี่ยงตายเหล่านั้นด้วยตัวเอง ซึ่งนักแสดงวัย 56 ปีก็เตรียมความพร้อมร่างกายกว่านานนับปี เพื่อเล่นฉากแอ็คชั่นสุดระทึกเหล่านี้ด้วยตัวของเขาเอง

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ เรื่องไม่ลับกับความสำเร็จของ Mission: Impossible – Fallout

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook