รีวิว The Meg ฉลามบุกสู้ชีวิต
ด้วยพล็อตแนวหนังสัตว์ประหลาดโจมตีมนุษย์ ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ยังสามารถขายได้ เป็นที่สนใจของคนดู เนื่องจากความแฟนตาซี ผูกเข้ากับจินตนาการด้านมืดของมนุษย์ที่ว่าด้วยสัตว์ร้ายที่มีกำลังวังชาและภัยคุกคามเกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถรับมือได้ นำมาซึ่งวิกฤติหลายประการ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็จะสามารถปราบสัตว์ร้ายได้ในที่สุด
ที่กล่าวมาในย่อหน้าที่แล้วอาจจะไม่ใช่การสปอยล์หนังแต่อย่างใด แต่มันคือ “บทสูตรสำเร็จ” ของหนังสัตว์ประหลาดในปรากฏอยู่ในทุกยุคทุกสมัย วิธีการเดินเรื่องในหนังประเภทนี้ สิ่งที่จำเป็นที่สุดในการสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ชม คือการที่หนังต้องออกแบบตัวละครให้มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน มีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดให้คนดูอยากจะเอาใจช่วยยามที่พวกเขาตกอยู่ในอันตรายที่คับขัน จวนเจียนจะตาย และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
The Meg เป็นหนังที่ยึดโครงสร้างสูตรสำเร็จ แต่เน้นโฟกัสไปที่ตัวละครอย่างโจนาส เทย์เลอร์ (เจสัน สเตแธม) อดีตนาวิกโยธินเรือดำน้ำฝีมือดี ซึ่งยังคงฝังใจกับภารกิจช่วยชีวิตลูกเรือที่ติดอยู่ในเรือดำน้ำ จนเขาต้องวางมือและไปใช้ชีวิตแบบติดดินอยู่ที่ประเทศไทย จนกระทั่งเหล่านักวิทยาศาสตร์ชาวจีนที่ตัดสินใจลงไปสำรวจ ณ ใต้ทะเลลึกซึ่งพวกเขามีความเชื่อว่า ณ ก้นสมุทรมาเรียน่า นอกชายฝั่งของประเทศจีนนั้นคือจุดที่ลึกที่สุดของโลก อาจจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมด้วยหมอกไฮโดรเจนอยู่ และเมื่อพวกเขาตัดสินใจใช้เรือดำน้ำลงไปสำรวจ นักวิทยาศาสตร์ 3 คนถูกสัตว์น้ำขนาดยักษ์โจมตี จนเรือดำน้ำชำรุดและไม่สามารถกลับขึ้นมาบนผิวน้ำได้ ทำให้โจนาสถูกเรียกตัวมาทำภารกิจช่วยเหลือลูกเรือด้วยความไม่เต็มใจ
เมื่อเดินทางกลับมาถึงสัญชาติญาณบอกโจนาสว่า เขากำลังจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตลึกลับที่น่าจะเป็นตัวการสำคัญที่เคยทำให้ภารกิจกู้ภัยของเขาเคยล้มเหลว เมื่อเขาดิ่งลึกไปถึงใต้ก้นสมุทร เขาก็ค้นพบความจริงว่า สัตว์ร้ายตัวนั้นคือฉลามยักษ์เม็กกาโลดอนในตำนาน ที่มีขนาดใหญ่ถึง 70 ฟุต น้ำหนักกว่า 40 ตัน สิ่งทีชีวิตที่มนุษย์คาดว่าสูญพันธุ์แล้วกว่าสองร้อยล้านปี
สำหรับเราสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในหนังเรื่องนี้คือช่วงเวลา ที่ The Meg พยายามพาเราไปสำรวจศูนย์วิจัยใต้ท้องทะเลลึก ซึ่งเอาเข้าจริงหนังเรื่องนี้ก็ให้ความสำคัญของศูนย์วิจัยน้อยพอๆกับตึกระฟ้าใน Skyscraper เรารับรู้แค่เพียงว่ามันใช้ประโยชน์ได้แค่เป็นจุดปล่อยยานกับที่อยู่ของลูกเรือ ซึ่งอันที่จริงเราว่าหนังน่าจะเล่นสนุกกับตัวสถาปัตยกรรมนี้ แบบเดียวกับที่หนังฉลามอย่าง Deep Blue Sea เคยทำไว้ แต่หนังเลือกจะเล่าเรื่องในพื้นที่ของมหาสมุทรมากกว่า ซึ่งบรรดาฉากต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับฉลามในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ค่อยจะน่าตื่นเต้นเท่าที่ควร ประกอบกับการที่หนังไม่ค่อยสร้างคาแรกเตอร์ให้ตัวละครเหล่านี้ดูมีความเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อจริงๆสักเท่าไหร่ สุดท้ายใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะโดนฉลามงาบเราก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับพวกเขาเลย (รวมไปถึงหลายๆตัวละครที่ดูแล้วก็น่าให้ฉลามงาบๆไปเร็วๆ)
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับ The Meg คือถ้ามันเลือกจะมาในดีกรีความเว่อร์และโม้สุดลิ่มทิ่มประตูขนาดนี้แล้ว หนังก็ไม่ควรสงวนท่าทีซีเรียสจริงจัง แต่ควรจะดีไซน์ฉลามให้คลั่งและเลือดเย็นกว่านี้ อาจจะเป็นเพราะหนังเลือกจะอยู่แค่เรท PG-13 ที่ไม่สามารถสร้างฉากน่าสยดสยองแบบหนังเรท R ได้ ทุกอย่างเลยดูเบา ดูจืด และดูธรรมดาไปอย่างน่าเสียดาย