รีวิว Mile 22 ดูเอามันแค่นั้นพอ

รีวิว Mile 22 ดูเอามันแค่นั้นพอ

รีวิว Mile 22 ดูเอามันแค่นั้นพอ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การร่วมงานกันเป็นครั้งที่ 4 ระหว่างมาร์ค วาห์ลเบิร์ก และ ผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์ก หลังจาก Lone Survivor (2013) , Deepwater Horizon (2016) และ Patriots Day (2016) และเป็นผลงานบท ภาพยนตร์ของ ลี คาร์เพนเตอร์ มือเขียนบทโนเนม ที่ไม่เขียนมีผลงานก่อนหน้ามาเลยสักเรื่อง มาร์ค วาห์ลเบิร์ก รับบท เจมส์ ซิลวา หัวหน้าหน่วยลับของ CIA ที่ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปประเทศสมมติในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อไปรับตัว ลี นัวร์ ตำรวจตงฉินที่กำเบาะแสของซีเซียม ระเบิดอาณุภาพสูงที่ทีมของเจมส์ ซิลวา กำลังตามหาอยู่ แต่มีข้อแม้ว่าต้องพาเขาออกจากประเทศนี้ก่อน เพราะผู้มีอิทธิพิลมากมายกำลังตามล่าเอาชีวิตเขาอยู่ หัวใจหลักของหนังคือ การอารักขาลี นัวร์ จากสถานทูตสหรัฐไปยังสนามบินที่มีะระทาง 22 ไมล์ และตลอดทางจะต้องโดนซุ่มโจมตีจากกองกำลังว่าจ้างที่หมายมั่นเอาชีวิตลี นัวร์ อย่างแน่นอน

มาร์ค วาห์ลเบิร์ก กับคาแรคเตอร์พระเอกแอ็คชั่นถือปืนกลน่าจะเป็นภาพที่แทบเป็นเอกลัษณ์ประจำตัวเขาไปแล้ว ปีเตอร์ เบิร์กจึงพยายามหาทางให้มาร์ค ได้ฉีกภาพลักษณ์จากเดิมด้วยการเพิ่มเติมบุคลิกประหลาด ๆ เข้าไปในตัวเจมส์ ซิลวา แล้วผลที่ออกมาคือตัวละครที่ออกแนวโรคจิต เจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวตลอดเวลา สมาธิสั้นต้องคล้องหนังยางที่ข้อมือไว้คอยดีดดึ๋งเพื่อช่วยควบคุมสมาธิ และเจมส์ เป็นมนุษย์ที่พูดมาก หลาย ๆ ฉากที่เขาปรากฏตัวบนจอ ซับไตเติ้ลจะวิ่งแบบรัว ๆ อ่านกันแทบไม่ทัน ซึ่งจริง ๆ ก็ปล่อยผ่านไปได้ เพราะเต็มไปด้วยปรัชญาคำคมที่ไม่มีส่วนสำคัญอะไรกับเนื้อหาหนังนัก ถ้ายังปวดหัวไม่พอ ปีเตอร์ เบิร์ก พยายามสร้างความแปลกใหม่ให้กับหนังที่มีมาร์ค วาห์ลเบิร์กเป็นพระเอกเรื่องที่ 4 ของเขาด้วยการใส่ลูกเล่นการตัดต่อสลับไปมา 2 เหตุการณ์แบบรัว ๆ ปวดหัวมาก และไม่เห็นว่ามันจะเท่ตรงไหน

หนังเปิดเรื่องแบบหนังแอ็คชั่นพิมพ์นิยม คือโชว์ปฏิบัติการของทีมพระเอกเป็นการแนะนำตัวและแสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจน่าทึ่ง ก็เป็นการให้เราได้รู้จักสมาชิกภาคพื้นดินของทีม ที่ประสานงานกับทีมโอเวอร์วอตช์กองบัญชาการที่มีบิช็อปเป็นผู้บัญชาการ คอยทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาจากภายนอกให้ ด้วยความสามารถของทีมโอเวอร์วอตช์ก็นับว่าเป็นสีสันอย่างหนึ่งของหนัง แต่เป็นสีสันที่มากับความโม้มาก เพราะทีมนี้สามารถย้ายหน่วยบัญชาการไปที่ไหนก็ได้ แล้วคอมพิวเตอร์ของพวกเขาก็สามารถเข้าควบคุมระบบไฟฟ้าได้ทุกอาคาร มองเห็นภาพกล้องวงจรปิดได้ทุกตัว และถึงขั้นควบคุมสัญญาณจราจรในประเทศนั้น ๆ ได้ด้วย เหมือนยกระบบสอดแนมอัจฉริยะมาจากหนัง Eagle Eyes (2008)

พ้นจากปฏิบัติการแรกหนังก็ปูความถึงปฏิบัติการต่อไปในประเทศสมมติแต่ไปถ่ายทำกันในโคลัมเบีย ก่อนที่จะแนะนำตัว อิโค อูเวส ในบทลี นัวร์ แล้วบทก็เปิดช่องให้พระเอกนักบู๊ชาวอินโดได้โชว์ฉากบู๊แบบถึงพริกถึงขิงกันยาว ๆ เสียดายที่ จา พนม ยังไม่ได้บทเด่นในหนังฮอลลีวู้ดเท่านี้เลยนะ ผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมงก็เริ่มปฏิบัติการเดินทาง 22 ไมล์ ที่พลอตเรื่องช่วงนี้ไปละม้ายกับ 16 Blocks หนังบรู๊ซ วิลลิส ปี 2006 ที่ต้องอารักขาพยานไปศาลในระยะทาง 16 ช่วงตึก ต่างกันที่เรื่องนั้นเดินเท้าแต่เรื่องนี้ขับรถกันไป หนังในช่วงนี้เดินเรื่องตามสไตล์หนังสยองขวัญ ใส่เหยื่อมา 5 คน เป็นเจมส์ ซิลวา และลูกทีมอีก 3 คน และลี นัวร์ ที่ต้องเผชิญกับปีศาจร้ายในคราบทหารรับจ้างที่มากันหลายสิบคน พร้อมอาวุธหนักทั้งปืนกล และอาร์พีจี ตลอดทางก็ต้องทยอยเสียลูกทีมไปทีละคน ไปลุ้นกันเอาว่าสุดท้ายเหลือกี่คน ฉากแอ็คชั่นช่วงเดินทางส่งตัวทำได้สนุก ลุ้น มัน เพราะจำนวนคนเหลือน้อยลง เวลาก็เหลือน้อยลง เพราะเครื่องบินจะจอดรอได้เพียง 10 นาทีเท่านั้น

Mile 22 จึงเป็นหนังที่เน้นขายฉากแอ็คชั่นเอาใจตลาด ห้ามคิดหาตรรกะเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะบทรั่วกันแบบจนพรุน ตัวละครเกือบทุกตัวแบนราบไม่มีที่ไปที่มา แต่เลือกที่จะไปใช้เวลาดราม่ากับชีวิตครอบครัวของอลิซ บทของลอเร็น โคฮาน ซึ่งปูไปก็เสียเปล่า ไม่ได้มีผลอะไรกับเนื้อหาหลักเลย ในขณะที่ควรจะลงลึกกับบทของแอกเซิล ตัวร้ายของเรื่องผู้ยกกองกำลังมาเอาชีวิตลี นัวร์ กลับกลายเป็นตัวละครที่มาแบบลอย ๆ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ซีแอล ศิลปินสาวชาวเกาหลีมารับบทลูกทีมโอเวอร์วอตช์ ทั้งเรื่องมีบทพูดสองคำเองมั้ง เอาใครมาเล่นก็ได้นะ เท่สุดยังคงยกให้ จอห์น มัลโควิช ในบทบิช็อป , เป็นตัวละครที่เหมาะแล้วที่ได้ จอห์น มัลโควิชมาสวมทบทบาท เพราะทำให้ตัวละครนี้ดูสุขุม ภูมิฐาน น่าเชื่อถือขึ้นมาก

มาร์ค วาห์ลเบิร์ก และผู้กำกับ ปีเตอร์ เบิร์ก

อ่านเบื้องหลังแล้วหนังสร้างกันแบบฉาบฉวยพอควร ด้วยทุนสร้างเพียง 35 ล้าน ถ่ายทำกันแค่ 42 วันปิดกล้อง บทจะร่งจะรั่วไร้เหตุผลก็ช่างมัน ผลออกมาเป็นหนังที่ความยาวไม่ถึงชั่วโมงครึ่ง อัดฉากแอ็คชั่นแน่น ๆ แค่นี้ก็ขี้เกียจจะได้กำไรแล้ว หนังเปิดฉายมาไม่ถึงสัปดาห์ก็กวาดไปแล้ว 31 ล้านแค่นี้ก็ใกล้จะได้ทุนคืนแล้ว หนังตอบสนองคอหนังแอ็คชั่นได้สะใจแน่นอน เพราะกระสุนยิงกันแบบหูดับ แล้วฉากต่อสู้ก็โหดในแบบร้องอี๊กันเลย แถมลงท้ายด้วยบทเฉลยแบบหักมุม เซอร์ไพรส์พอควร ก็นับว่าเป็นทีเด็ดของหนังเลย หนังทำมาเอาใจตลาดอย่างแท้จริง ดูเอามันแค่นั้นครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook