รีวิว Papillon งานรีเมคที่ไม่ขี้เหร่แต่ช่างเงียบเหงา
และแล้วฮอลลีวู้ดก็หยิบหนังคลาสสิกมารีเมคอีกเรื่อง Papillon เป็นอีกหนึ่งหนังอมตะในปี 1973 ที่คนในวงการและคนดูชื่นชม ในด้านงานสร้าง ความประทับใจ และผลงานการแสดงที่เยี่ยมยอดของ สตีฟ แม็คควีน และได้อีกหนึ่งดาราใหญ่อย่าง ดัสติน ฮอฟฟ์แมน มาประกบคู่ แม้หนังจะไม่ได้ไปเฉิดฉายบนเวทีใหญ่อย่างออสการ์ และลูกโลกทองคำ แต่ในด้านการตลาดหนังก็ทำเงินแบบถล่มทลาย ด้วยตัวเลข 53 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่ 14 ล้านเหรียญ ซึ่งก็ถือว่าสูงมากในยุคนั้น จุดหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญให้ Papillon (1973) ประสบความสำเร็จในวันนั้น เพราะหนังสร้างจากนิยายขายดีในชื่อเรื่องเดียวกับ ผลงานประพันธ์ของ อ็องรี “ปาปิญ็อง” ชาร์ริเยร์ ที่ใช้ชื่อตัวเองมาตั้งชื่อเรื่อง และเนื้อหาก็คือการเล่าความทรงจำอันเลวร้ายของตัวเองในช่วงที่ถูกคุมขังบนเรือนจำบนเกาะ เฟรนซ์ กีอาน่า แต่สุดท้ายเขาก็หลบหนีมาได้สำเร็จ จนมาได้เล่าเรื่องราวของตัวเองออกมาเป็นนิยายเล่มนี้
ผ่านไป 44 ปี “Papillon” ก็ถูกรีเมคอีกครั้ง ได้ดารานำอย่าง ชาร์ลี ฮันนัม (Pacific Rim , King Arthur) มารับบทเป็น “ปาปิญ็อง” และได้ รามิ มาเล็ก ที่กำลังจะมีผลงานเรื่องสำคัญ Bohemian Rhapsody ใกล้กำหนดฉาย รามิ มารับเป็น หลุยส์ เดก้า บทเดิมของดัสติน ฮอฟฟ์แมน ส่วนผู้กำกับนั้นได้ ไมเคิล โนเออร์ ที่นับว่าโนเนมพอควร เพราะเขาเป็นผู้กำกับชาวเดนมาร์ก แต่ก็สะสมรางวี่รางวัลมาพอควร ส่วนงานบทภาพยนตร์ก็เป็นหน้าที่ของ อารอน กูซิโควสกี้ ที่เคยเขียน Prisoners หนังของ เดนนิส วิลเลอเนิฟ เมื่อปี 2013
หนังเล่าชีวิตของปาปิญ็อง สมาชิกแก๊งนอกกฏหมาย เขาเป็นโจรที่เชียวชาญการสะเดาะตู้เซฟ แต่ก็ยักยอกของที่ขโมยมาไว้ ทำให้โดนแก๊งจัดฉากให้กลายเป็นฆาตกร และสุดท้ายโดนส่งตัวไปคุมขังที่เกาะเฟรนซ์ กีอาน่า อาณานิคมของฝรั่งเศส ที่นี่เขาได้ตีสนิทกับหลุยส์ เดก้า ผู้โดนข้อหาปลอมแปลงพันธบัตรรัฐบาลและมีเงินจำนวนมากซุกซ่อนมากับตัว กลายเป็นเป้าหมายของเหล่าเพื่อนนักโทษที่จ้องหาทางฆ่าเขาเพื่อชิงเงิน ปาปิญ็องจึงถือโอกาสเสนอตัวเป็นองค์รักษ์แลกกับค่าตอบแทนที่ปาปิญ็องจะต้องใช้ติดสินบนเหล่าผู้คุมระหว่างหลบหนี จากจุดเริ่มต้นที่ต่างมีผลประโยชน์ต่อกัน พัฒนาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่ยืนยาว ด้วยวีรกรรมที่พิสูจน์ความจริงใจต่อกันอย่างมากมาย ยิ่งทำให้นึกไม่ออกว่าเนื้อหาตามนิยายที่ไม่มีบทหลุยส์ เดก้า จะเล่าเรื่องราวไปในทิศทางใดนะ เพราะบทหลุยส์ เดก้า นี่ถูกเพิ่มเติมมาในบทภาพยนตร์เพื่อดัสติน ฮอฟฟ์แมนโดยเฉพาะ
Papillon จึงออกมาเป็นหนังที่ค่อนข้างหลากหลายรสชาติ เมนหลักคือความตื่นเต้นระทึกของแผนการหลบหนีหลาย ๆ ครั้งของปาปิญ็อง ตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 13 นาที ค่อยไปดูกันเองนะว่าเขาพยายามอยู่กี่ครั้งกว่าจะสำเร็จ ที่เดินคู่ขนานไปคือการพัฒนาความสัมพันธ์ของปาปิญ็อง และหลุยส์ ที่ออกมาในรูปของมิตรภาพที่สวยงามระหว่างเพื่อน ที่ต่อถึงกันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด ส่วนแอ็คชั่นของหนังทำได้รุนแรงเกินคาด แม้ว่าคุกเฟรนซ์ กีอาน่า จะได้ชื่อว่าเป็นคุกที่คุมเข้มโหด แต่ความโหดที่ได้สัมผัสมักจะมาในรูปแบบของนักโทษกับนักโทษด้วยกัน หนังจึงมีฉากต่อสู้ออกมาบ่อยครั้ง ทั้งต่อสู้ด้วยมือเปล่าและมีดพก ขอบอกเลยว่าทีมงานทำภาพบาดแผลออกมาได้สมจริง ชวนหวาดเสียวมาก แล้วบรรดาฉากโหดก็ถูกยกระดับกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับมาก ซึ่งในเวอร์ชั่น 1973 นั้นจะเล่าเรื่องราวในส่วนแอ็คชั่นไปแบบผ่าน ๆ เท่านั้น
อีกจุดหนึ่งที่ประทับใจในเวอร์ชันใหม่นี้คือบทภาพยนตร์แม้จะเลือกเอาบทภาพยนตร์จากเวอร์ชั่นปี 1973 มาเป็นหลักแทนที่จะอิงจากนิยายต้นฉบับ แต่ก็ปรับหลาย ๆ ส่วนให้ดูลงตัว อย่างแรกคือการเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของปาปิญ็องและเดก้า มากกว่าเดิม โดยเฉพาะในฉากหนีครั้งที่ 2 ที่เพิ่มเติมลงไปคือการให้ปาปิญ็องได้แสดงออกถึงความรักและเสียสละเพื่อเพื่อน และมีผลส่งต่ออารมณ์ดราม่าของหนังในช่วงท้าย ในขณะที่ต้นฉบับไปลงลึกกับการผจญภัยของปาปิญ็อง ส่วนเดก้าสูญหายไปจากหน้าจอเลยในช่วงนี้
อีกจุดหนึ่งคือการเพิ่มที่ไปที่มาของปาปิญ็อง เล่าสาเหตุที่เขามาติดคุก ทำให้เราได้รู้ตัวตนของเขามากขึ้น แล้วการเลือกชาร์ลี ฮันนัม มารับบทก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะ ด้วยภาพลักษณ์ดิบเถื่อนของเขาดูใช่ และรูปร่างที่ใหญ่ก็สมควรกับที่เขากล้าพะบู๊กับเพื่อนนักโทษหรือแม้แต่ผู้คุม ก็ต้องชื่นชมกับตัวชาร์ลี ฮันนัม ในแง่ของความทุ่มเทตั้งใจกับบทปาปิญ็องนี้ เขาลดน้ำหนักตัวลงถึง 18 กิโลกรัม เพื่อให้สมจริงในฉากที่เขาออกจากคุกขังเดี่ยวที่โดนคุมขังอยู่หลายปี แต่ในด้านการแสดงก็ต้องบอกว่ายังไม่สามารถทำได้เหนือผลงานที่สตีฟ แม็คควีน ฝากเอาไว้ สตีฟ ถ่ายทอดสายตาของปาปิญ็อง ตอนที่ต้องติดคุกมืด ให้รู้สึกได้ถึงความท้อแท้สิ้นหวัง ทางด้านฉาก การจำลองภาพเกาะปีศาจ ที่คุมขังสุดท้ายของเรื่อง ในเวอร์ชั่นนี้ก็สร้างภาพเกาะออกมาได้ดูแห้งแล้ง ขาดชีวิต ดูหดหู่มากกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับนัก
ด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง การเข้าถึงเนื้อหาอารมณ์ ความรุนแรงทางด้านภาพ การแคสติ้งตัวแสดงได้สมกับบทบาท การเลือกเน้นในฉากสำคัญของหนัง และเลือกตัดในฉากที่ไม่สำคัญออกไป ทำให้ผู้เขียนรู้สึกประทับใจกับเวอร์ชั่น 2018 มากกว่าเวอร์ชั่น 1973 น่าเสียดายที่สตูดิโอเจ้าของหนังไม่มั่นใจกับหนังตัวเอง จึงเลือกปล่อยหนังออกมาแบบจำกัดโรงตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว หนังเลยทำเงินไปแค่ 3 ล้านแล้วจากนั้นคงจะปล่อยเป็นดีวีดี แล้วฉายตามสตรีมมิ่งต่อไป