สองขา หนึ่งหัวใจ ของชายผู้ไม่เคยคิดถึงความตาย “ตูน บอดี้สแลม” ใน “2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว”

สองขา หนึ่งหัวใจ ของชายผู้ไม่เคยคิดถึงความตาย “ตูน บอดี้สแลม” ใน “2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว”

สองขา หนึ่งหัวใจ ของชายผู้ไม่เคยคิดถึงความตาย “ตูน บอดี้สแลม” ใน “2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

*** บทความนี้อาจเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ ***

“ตายหรือไม่ตายมันไม่ใช่คำถาม เพราะไม่เคยคิด”

ประโยคราวๆ นั้นผุดขึ้นมากระแทกหัวใจในช่วงต้นๆ ของภาพยนตร์สารคดีที่บอกเล่าเรื่องราว 55 วันของการวิ่งจากใต้สุดของดินแดนขวานทองสู่เหนือสุดแดนสยามของชายนามว่า อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม อย่าง 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว ที่จวนเจียนจะหมดรอบฉายในไม่อีกกี่วันข้างหน้า

ในช่วงวัยเกือบ 40 ปี จะมีสักกี่คนที่ตั้งคำถามถึงวาระแห่งความตายกับตัวเองบ้างนะ?

เย็นวานนี้ (13 กันยายน 2561) Sanook! TV/Movies ได้รับคำเชิญจาก คิง เพาเวอร์ ให้ไปรับชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวในรอบพิเศษ ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งได้รับการเนรมิตให้กลายเป็นโรงหนังเฉพาะกิจ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ แต่จอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าก็พาเอาหัวใจสั่นเทิ้มอยู่ไม่น้อย อีกทั้งบริเวณหน้างานยังมีนิทรรศการก้าวคนละก้าว, นิทรรศการคิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย และกล่องรับบริจาคเพื่อร่วมสมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา โรงพยาบาลศิริราช วางเรียงรายอยู่โดยรอบ

เส้นเรื่องของ 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ไล่เรียงมาตั้งแต่ก่อนที่ “พี่ตูน” ของประชาชนชาวไทยทุกคนจะเริ่มวิ่ง การเตรียมพร้อมร่างกาย มุ่งสู่วันแรกของการวิ่งที่เบตง จ.ยะลา การพบเจอกับอุปสรรคในเรื่องการบาดเจ็บของร่างกาย หัวใจอันมุ่งมั่น ตัดสลับกับการสัมภาษณ์คนรอบกายชายผู้ซึ่งอยู่ในสปอตไลต์ ทั้งทีมงานที่ร่วมหัวจมท้ายในการวิ่งครั้งประวัติศาสตร์หนนี้ รุ่นพี่ในวงการดนตรี หรือแม้กระทั่งครอบครัว ล่วงเลยไปสู่การเข้าเส้นชัยที่เชียงราย ด้วยระยะทางทั้งหมดทั้งมวล 2,215 กิโลเมตร

หลายคนอาจรู้สึกว่า ทุกเรื่องราวในการวิ่งครั้งนี้ ถูกเล่าผ่านสื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รวมไปถึงโลกออนไลน์อย่างหนักหน่วงในช่วงปลายปี 2017 ไปหมดแล้วหรือไม่ คงปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือเรื่องจริง หากแต่ผู้กำกับอย่าง ณฐพล บุญประกอบ และทีมงาน 4 ชีวิต กับกล้องอีก 2 ตัว กลับเลือกที่จะเล่าในมุมที่แตกต่างจากภาพที่ทุกคนเคยเห็น และนี่คือจุดแข็งของหนังเรื่องนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้

บรรยากาศเฮฮา กดดัน และตึงเครียดถึงที่สุดภายใน “รถบ้าน” ที่ ตูน ใช้พักผ่อนเป็นการส่วนตัว ถือเป็นฟุตเทจที่สร้างความตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อภาพปรากฏ เปลือกนอกที่ทุกคนเห็นชายคนนี้ อาจเต็มไปด้วยความสวยหรู จากการเป็นนักร้องนำวงดนตรีร็อคที่ได้รับความนิยมแทบจะสูงที่สุดในเมืองไทย การเป็นนักกีฬาปิงปอง ลงแข่งขันกีฬาแห่งแห่งชาติให้จังหวัดบ้านเกิดอย่างสุพรรณบุรี การเป็นผู้ชายอ่อนน้อมถ่อมตน และเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรถบ้านคันนั้น กลับทำให้ ตูน กลายเป็นปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ในบางเวลาก็ปล่อยมุขถี่ยิบ แต่ในบางเวลาก็กลับเกรี้ยวกราดจนน่าตกใจ

ภายใต้เขตหวงห้ามที่คนนอกไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง กลับกัน… บรรยากาศด้านนอกของผู้คนที่มารอต้อนรับและให้กำลังใจ “ฮีโร่” ของพวกเขาอย่างเนืองแน่น กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องฝืนความรู้สึกใดๆ นี่อาจเป็นภาพที่เราเคยเห็นตามไลฟ์ในเฟซบุ๊กหรือภาพนิ่งต่างๆ มากมายมหาศาล แต่หนังก็ขอขยี้ลงลึกไปมากกว่านั้นด้วยบทสนทนาระหว่างตากล้องกับผู้ถูกสัมภาษณ์ เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ผู้เฒ่า ที่เพียงขอได้เห็นหน้า ได้หยิบยื่นธนบัตรหรือเหรียญให้ถึงมือพี่ตูนให้ได้ กลายเป็นคอนเทนต์ในอีกรูปแบบหนึ่งที่สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือในบางคราว ก็ทำให้น้ำตาปริ่มจะไหลลงมาเสียให้ได้

โดยเฉพาะการพบเจอกันของ ตูน และ “น้องแพรว” หนูน้อยนักวิ่งที่ขาทั้ง 2 ข้างถูกรถเทรลเลอร์ทับ แม้โอกาสที่จะกลับมาเดินได้ดังเดิมจะมีน้อยนัก แต่ก็ค่อยๆ ได้รับการรักษาโดยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้งบจากการวิ่งกรุงเทพฯ-บางสะพาน ของตูนเมื่อช่วงปลายปี 2016 นับเป็นเหตุการณ์ที่ทั้งสะเทือนใจและปลื้มปริ่มอย่างที่สุดในเวลาเดียวกัน แม้ว่าในบางเสี้ยววินาทีจะรู้สึกว่าหนังใช้เวลากับเหตุการณ์นี้มากไปสักนิดก็ตาม

ในขณะที่ตัวละครอื่นๆ ที่อยู่รายล้อมชีวิตของตูนที่ทีมงานเลือกนำฟุตเทจสัมภาษณ์มาร้อยเรียง ไม่ว่าจะเป็น โอ๊ต-ธีรทัต สังขทัต ณ อยุธยา ผู้วางแผนการวิ่งตลอดระยะเวลา 55 วัน, หมอเมย์-สมิตตา สังขะโพธิ์ ที่คอยดูแลอาการบาดเจ็บอย่างใกล้ชิดในทุกเซตการวิ่ง หรือแม้แต่ กบ-ขจรเดช พรมรักษา มือกลองวง Big Ass ที่แต่งเพลงให้ตูนร้องมายาวนาน เป็นต้น ต่างก็เผยอีกแง่มุมความคิด แง่มุมชีวิตที่ทำให้ผู้ชมได้แกะเปลือกที่ห่อหุ้มนักร้องคนดังเอาไว้ไปอีกหลายเปลาะ โดยเฉพาะคำพูดจาก กบ ที่สามารถสะท้อนข้อเท็จจริงในการแบกอะไรบางอย่างเอาไว้ภายใต้แสงเจิดจรัสของวงการบันเทิงของ ตูน ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว

แต่พาร์ตที่ทำเอาเรายิ้มไม่หุบ รวมถึงของเหลวจากตาก็ไหลลงมาอาบแก้มเบาๆ นั่นก็คือ การเดินทางถึงภูมิลำเนาที่สุพรรณบุรี ช็อตพ่อ แม่ ภาพวัยเด็กของตูน และการร้องเพลงของเขาในตอนนั้น มันช่างเรียบง่าย ไร้เดียงสา ทว่าผู้กำกับก็ยังไม่ลืมใส่ความดื้อในทุกอณูของ ตูน ลงไป ที่ยิ่งขับเน้นความรั้นของเขาผู้นี้ให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้นไปอีก รวมไปถึงแต่ละบทเพลงที่ถูกหยิบยกมาเล่าผ่านท่วงทำนองก็งดงาม จังหวะเยี่ยม และเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาหลายย่อหน้าต่อเนื่อง ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดูยากตามหน้าหนัง “สารคดี” ตามแบบฉบับทั่วไป อีกทั้งเรายังจะได้สัมผัสแง่มุมชีวิตต่างๆ ของ ตูน บอดี้สแลม ในบทบาทที่ไม่ใช่นักร้องผู้ซึ่งกระโดดโลดเต้นอย่างสุดชีวิตอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต

เพราะเขาคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง … เพียงเท่านั้น

แต่ที่พิเศษมากไปกว่าการเป็นมนุษย์ธรรมดา ตูน คือมนุษย์ที่สร้างแรงบันดาลใจ มอบความสุขให้ผู้อื่น จากความคิดตั้งต้นเพียงแค่ว่า “อยากจะทำ” และ “ลงมือทำ” กลับกลายเป็น “สิ่งที่ยิ่งใหญ่” ที่มนุษย์คนหนึ่งที่ไม่อยากและไม่เคยคิดจะเป็นฮีโร่ในสายตาใคร … พอจะทำได้ตามขีดความสามารถของชีวิต

รอยยิ้มรายทางตลอดกว่าสองพันกิโลเมตร เราไม่เห็นรอยยิ้มที่แสนจะมีความสุขแบบนั้นมานานเท่าไหร่แล้วในสังคมไทย?

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การวิ่งจากเบตงสู่แม่สาย ชีวิตของ ตูน แขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะมีปัจจัยมากมายเหลือเกินที่จะทำให้เขา “ตาย” ได้ในชั่วพริบตา แต่การที่เขาไม่เคยคิดพะวงถึงความตายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกวินาที เพียงเพื่ออยากจะทำเพื่อผู้อื่น ผู้อื่นที่เขาอาจจะไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ สำหรับเรา … มันเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษร มันไม่รู้จะอธิบายเช่นไร ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมัน “ดี” แค่ไหน

“ใครสักคนก็พอ ชีวิตตาย ให้มีความหมาย เพื่อคำว่ารัก ไม่ยิ่งใหญ่ แค่เธอจำไว้เพียงพอ”

เนื้อร้องท่อนหนึ่งจากเพลง “เตรียมตัวตาย” ในอัลบั้ม ดัม-มะ-ชา-ติ ที่ดังก้องขึ้นในหนัง อาจเป็นเศษเสี้ยวในความคิดของ ตูน ที่ว่า หากได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อคนอื่นอย่างที่เขาตั้งใจ แม้ตัวตาย ก็คุ้มค่า ก็ไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว

และ 2,215 กิโลเมตรที่เต็มไปด้วยความเชื่อ ความบ้า ความกล้า ที่จะขอก้าวออกไปทำความดีเพื่อคนอื่น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนจดจำชื่อ ตูน บอดี้สแลม ไปตลอดชีวิต

 

*** นอกจาก 720,000 ที่นั่งทั่วประเทศที่ คิง เพาเวอร์ มอบให้คนไทยได้ดูภาพยนตร์เรื่อง 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว แบบฟรีๆ แล้ว ในวันที่ 14-16 กันยายน 2561 คิง เพาเวอร์ ยังเพิ่มรอบฉายที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ที่กลายเป็นโรงภาพยนตร์เฉพาะกิจสุดยิ่งใหญ่ ดูฟรี! วันละ 4 รอบ (12.00 / 14.30 / 17.00 / 19.30 น.) รอบละ 2,500 ที่นั่ง ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB : King Power Thai Power พลังคนไทย ***

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ สองขา หนึ่งหัวใจ ของชายผู้ไม่เคยคิดถึงความตาย “ตูน บอดี้สแลม” ใน “2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook