รีวิว BLEACH หนังจากมังงะดัง ชอบนะ แต่ทั้งเรื่องก็แค่อินโทร
อิจิโกะ หนุ่มนักเรียน ม.ปลาย ผู้สามารถมองเห็นวิญญาณได้ แล้ววันหนึ่งเขาก็บังเอิญได้พบยมทูตสาวนามว่า รูกิยะ ขณะที่เธอกำลังล่าวิญญาณร้าย และด้วยสถานการณ์บังคับทำให้เธอต้องมอบพลังยมทูตให้แก่เขาเพื่อสังหารวิญญาณร้าย ความยุ่งยากเกิดตามมาหลังจากนั้นเพราะรูกิยะไม่สามารถนำพลังกลับมาได้ เธอจึงต้องฝึกอิจิโกะเพื่อฆ่าวิญญาณร้ายตัวสำคัญแทนเธอ ก่อนที่ยมโลกจะรู้ว่าเธอเสียงพลังยมทูตไป แล้วจะส่งยมทูตผู้คุมกฏมาฆ่าทั้งเธอและอิจิโกะ!!
นี่คือหนังช่องเน็ตฟลิกซ์ที่ทำมาจากมังงะชื่อดัง และมีแฟน ๆ เฝ้ารอคอยมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งในบ้านเราเคยตีพิมพ์ฉบับแปลไทยในชื่อ บลีชเทพมรณะ โดยเนชั่นกรุ๊ปมาแล้ว สำหรับการแปลงเป็นหนังครั้งนี้ได้ ซาโต้ ชินสุเกะ ผู้กำกับที่ช่วงหลังท็อปฟอร์มกับการดัดแปลงมังงะฉบับคนแสดงหลายต่อหลายเรื่อง อย่างเช่น Gantz (2010) I Am a Hero (2015) และล่าสุดที่เพิ่งลงโรงในบ้านเราไปอย่าง Inuyashiki (2018) คือใครจะว่าไงไม่รู้นะแต่ส่วนตัวผมมองว่าเขาเป็นผู้กำกับที่เข้าใจความเป็นมังงะ และการแปลงเป็นหนัง ที่เก่งที่สุดในยุคนี้แล้วล่ะ อย่างน้อยงานเขาก็ไม่ล้นจนเหมือนดูคนบ้าแบบหนังจากมังงะของผู้กำกับ ทาคาชิ มิอิเกะ น่ะ ซึ่งบางเรื่องมิอิเกะแกก็ดีนะ อย่าง Blade of the Immortal (2017) ที่ลงช่องเน็ตฟลิกซ์เหมือนกันนี่ก็ใช้ได้เลย แต่พอไม่ใช่แนวซามูไรที่แกถนัดนี่เละตุ้มเป๊ะจริง ๆ ทั้ง Terra Formars (2016) ทั้ง JoJo’s Bizarre Adventure: Diamond Is Unbreakable – Chapter 1 (2017) เอาเป็นว่าในสายตาผม ชินสุเกะ คือลงตัวแล้วกับงานกำกับมังงะ
ด้านบทก็ได้ ฮาบาระ ไดสุเกะ ที่เคยเขียนบทหนังรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของญี่ปุ่นอย่าง Hula Girls (2006) มาแล้ว ฝั่งหนังจากมังงะเขาก็ยังเคยเขียนบทให้ทั้ง The Prince of Tennis (2006) และ Kitaro (2007) มาแล้ว ก็เชื่อขนมกินได้ระดับหนึ่งว่าไม่ง้องแง้งแน่นอน และพอดูจริงก็ยอมรับว่าคนเขียนบทและผู้กำกับตัดสินใจได้พอดีกับการตัดมังงะความยาวกว่า 74 เล่มจบ เอามาเล่าแค่ช่วงต้นที่พระเอกเพิ่งรู้จักยมทูตเพราะจะยังไม่ซับซ้อนมากเกินไป คนไม่รู้จักมังงะมาก่อนก็จะยังดูได้สนุกอยู่ระดับหนึ่ง แต่ก็คิดว่าหนังควรจะกล้าตัดตัวละครบางตัวออกไปก่อนเพื่อไม่ให้คนดูสับสนเช่นกันโดยเฉพาะ อิชิดะ อุริว นี่ยิ่งไม่ควรใส่มาเลย เพราะจะขยายความเรื่องเผ่าพันธุ์ศัตรูยมทูตให้งงไปกันใหญ่ทั้งยังไม่มีบทบาทมากนักในช่วงต้นด้วย แต่ถ้ามองว่าทีมสร้างคาดหวังให้มีภาคต่อนี้ก็พอเข้าใจได้
แต่พอพะวงกับการจะทิ้งไว้เล่าต่อ มันก็ทำให้หนังทั้งเรื่องกลายเป็นแค่อินโทรไปทันที
และนั่นคงเป็นข้อเสียใหญ่เลย ที่ทำให้การเล่าของหนังยังไม่เข้มข้นเท่าที่ควร แม้ขนาดว่า 40 – 50 นาทีหลัง หรือคือเกือบครึ่งเรื่องหลังของหนังจะอัดเต็มไปด้วยแอ็กชั่นต่อกันรัว ๆ ก็ตามที แต่เพราะคนที่ไม่รู้จักมังงะมาก่อนต้องมานั่งจำฝักฝ่ายต่าง ๆ มากมายทั้งมนุษย์ฝั่งพระเอก มนุษย์ฝั่งศัตรูกับยมทูต ยมทูตฝั่งพระเอก ยมทูตฝั่งผู้คุมกฏ วิญญาณฝั่งดี วิญญาณฝั่งร้าย โอยยยย มันก็ทำให้ดูลื่นเพลิดเพลินได้ยากไปนิดล่ะนะ แต่ถามว่าคอมังงะจะรู้สึกยังไง วัดจากส่วนตัวนี่คือชอบเลย เพราะได้เห็นตัวละครจากมังงะตัวนั้นตัวนี้มาเยอะเลย แถมการแคสติ้งก็สมเหตุสมผลไม่ดูตลกแบบบางเรื่องเลย
ทั้งพระเอกอิจิโกะที่ได้ ฟุกุชิ โซตะ หรือเด็ก ๆ น่าจะรู้จักในนาม มาสค์ไรเดอร์โฟร์เซ ส่วนฝั่งที่ดตมาหน่อยน่าจะคุ้นหน้าจากหนังรักน้ำดีอย่าง Tomorrow I Will Date with Yesterday’s You (2016) ซึ่งการที่เขาย้อมผมทองตามคาแรกเตอร์รอบนี้ไม่ดูขัดตาเลยสักนิด แถมสะท้อนความเป็นอิจิโกะตามมังงะได้เยี่ยมด้วย ด้านยมทูตสาวรูกิยะก็ได้ สุจิซากิ ฮานะ ที่เคยร่วมงานกับโซตะมาแล้วในเรื่อง Blade of the Immortal (2017) ซึ่งลุคของเธอที่เหมือนซามูไรสาวก้เข้ากันดีกับความเป็นยมทูตแม้จะห่างจากภาพในมังงะไปหน่อยก็ตาม แต่ด้านความน่าเชื่อมันก็ยังได้อยู่
ส่วนตัวละครอื่นก็คัดได้ดีเลย ทั้ง แชด (โคยานางิ ยู) ที่ดุเข้มหล่อเท่กว่าในมังงะ โอริฮิเมะ (มาโนะ เอรินะ) ที่สวยจนต้องชะงักมอง (เอรินะเธอเพิ่งแต่งงานไปเมื่อสองเดือนก่อนทำเอาแฟน ๆ ร่ำไห้กันทั่วเลย TT) หรือจะฝั่งยมทูตที่ได้ มิยาบิ นักร้องร็อกชื่อดังมาร่วมแสดงหลังจากเพิ่งไปชิมลางโผล่ประกอบในหนังของ แองเจลินา โจลี่ อย่าง Unbroken (2014) และมาโผล่แบบแมสขึ้นในหนัง Kong: Skull Island (2017) ด้วย สำหรับบท เบียคุยะ ยมทูตผู้คุมกฏในหนังเรื่องนี้ มิยาบิก้ใช้บรรยากาศเฉพาะตัวของเขาสร้างความเข้มขึงและน่ากลัวได้อย่างยอดเยี่ยมเลย คือรวม ๆ บอกเลยว่าแคสติ้งโอเคมากกก
อีกส่วนที่ต้องชมคือการออกแบบงานต่อสู้ที่ได้ดูดุดันรุนแรงดี ไม่ว่าจะเป็นการเตะต่อยทั่วไปจนถึงงานร่วมกับซีจี ซึ่งเป็นอะไรที่หนังของชินสุเกะทำได้โอเคมาตลอดนะ ส่วนที่ต้องติก็ตามที่เล่ามาล่ะครับคือหนังเล่าอะไรเยอะไปนิดทำให้ความสนใจไม่โฟกัสไปที่จุดเดียวมากพอจนกราฟอารมณ์มันไม่พุ่งไปถึงที่สุด และพื้นฐานการเล่ามันก็เดาได้ทั้งเรื่องล่ะเพราะมาตามแบบมังงะเป๊ะ แถมมันเป็นมังงะสายลูกผู้ชายที่สูตรตายตัวโคตร ๆ แทบไม่มีอะไรต้องลุ้นเลย แต่ถ้ามองในแง่หนังจากมังงะนี่คือดีได้มาตรฐานไม่มีอะไรให้ก่นด่าเลยครับ ชอบนะอยากให้มีภาคต่อ แต่ก็น่าจะยากอยู่