รีวิว Ghost Stories เริ่มจากหลอนรุนแรงจนทุเลา กลายเป็นหนังเกินคาดเดาสุดครีเอท
ศาสตราจารย์ ฟิลลิป กู๊ดแมน (รับบทโดย แอนดี้ เนย์แมน) ผู้ไม่เคยเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่กลับต้องเผชิญกับเรื่องเล้นลับด้วยตัวเอง เมื่อเขาได้รับเทปเสียงปริศนาที่หักล้างความเชื่อของเขา พร้อมข้อพิสูจน์ที่มาในรูปแบบของ 3 คดีขนหัวลุก ที่ไม่เคยมีใครหาคำตอบและที่มาของมันได้ ภาพยนตร์ระทึกขวัญน่าจับตาที่การันตีด้วยคะแนนมะเขือเทศสดกว่า 81% เสริมระดับความระทึกด้วย มาร์ติน ฟรีแมน จาก The Hobbit (2012 – 2014) , Cargo (2017) , Black Panther (2018) และนักแสดงดาวรุ่งสายแปลก อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ จาก The End of the F***ing World (2017) , Departure (2015)
นี่คือหนังที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าน่ากลัวสลัดผักที่สุดแห่งเกาะอังกฤษในโมงยามนี้ นอกจากว่าความน่ากลัวของเรื่องเล่าทั้ง 3 คดีปริศนาที่ตัว ศจ.กู๊ดแมน ต้องเข้าไปแก้ไขคดีสไตล์หนัง ออมนิบัสฟิล์ม หรือหนังที่ประกอบด้วยหนังสั้นในตัวที่มักจะ 3 เรื่องบ้าง 4 เรื่องบ้างแล้วแต่การออกแบบแล้ว (ตัวอย่างบ้านเราก็ ผีสามบาท หรือ 4 แพร่ง นั่นล่ะ) หนังยังโยงใยแต่ละเรื่องสั้นด้วยความครีเอทเหลือคณากับการติดตามว่าทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับตัว ศจ.กู๊ดแมนกันแน่ เมื่อเขาถูกไอดอลด้านการท้าพิสูจน์ผีสมัยเด็ก กลับมาบอกว่าพวกเขาเข้าใจผิดว่าผีไม่มีจริงมาตลอด และถ้ากู๊ดแมนไม่เชื่อก็จงหาคำอธิบาย 3 คดีที่ยากจะเข้าใจนี้มาให้ได้
คดีที่ 1: ในความมืด เรื่องราวของยามกะดึก (พอล ไวท์เฮ้าส์) ที่ต้องอยู่เฝ้าอาคารร้างที่เคยเป็นที่บำบัดคนไข้หญิงโรคประสาทเมื่อหลายสิบปีก่อน และเมื่อนาฬิกาเตือนเวลา 03.45 น. ที่เขาต้องเตรียมเดินตรวจเวรปกติก็เกิดเหตุบางอย่างที่ทำให้เขารู้ว่าเขาอาจไม่ได้อยู่คนเดียว หนังชวนให้นึกถึงหนังอย่าง Tales of Terror from Tokyo and All Over Japan: The Movie (2004) ตอนที่ 1 ที่ว่าด้วยยามกะดึกเหมือนกัน แต่กับคดีใน Ghost Stories นี้ ความมืดถูกออกแบบให้โคตรน่ากลัว เรื่องราวและร่องรอยของคารร้างก็ชวนให้นึกถึงสุสานโสเภณีที่กาญจนบุรีของไทยเสียเหลือเกิน ด้วยความใกล้เคียงความเป็นวิญญาณแบบที่เราคุ้นเคยมากสุด ขอยืนยังเลยว่าแค่ตอนแรกก็ขนหัวลุกชูชันสั่นประสาทแล้ว
คดีที่ 2: กลางป่า ดาราวัยรุ่นที่เล่นแนวจิต ๆ ได้ขนลุกอย่าง อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ มารับบทเด็กที่ครอบครัวมีปัญหาพ่อแม่อารมณ์ร้าย (จริง ๆ คือราวกับอยู่ในบ้านผีสิงเลยมากกว่า) และคืนหนึ่งเขาก็พานพบกับเหตุการณ์ประหลาดเมื่อขับรถผ่านป่าเวลา 03.45 น. แล้วเผลอชนกับบางสิ่งที่ตามหลอกหลอนเขาหลังจากนั้น พูดตรง ๆ คือตอนที่ ศจ.กู๊ดแมนมาสัมภาษณ์เจ้าหนูนี่ที่บ้านมันน่ากลัวกว่าตอนที่เล่าเรื่องคืนขับรถซะอีก แต่ไม่ใช่ว่าตอนเรื่องในป่าไม่น่ากลัวนะ คือสมองเราหลอนไปแล้วอ่ะ เจออะไรโผล่มาในหนังมันก็เห็นเป็นผีไปหมดเลย แอบสะดุ้งเฮือกกับเบาะรถไปซะหลายรอบ 555 คือมันเป็นตอนที่สนองตอบสารที่หนังสื่อมาเป็นระยะได้ดีเลยนะว่า “สมองเราเห็นในสิ่งที่เราอยากเห็น” แต่ด้วยความที่ตอนนี้มันออกแนวภูตมากกว่าผี เราเลยไม่ค่อยอินเท่าตอนแรก แต่นั่นล่ะยังสยองอยู่ดีแม้จะไม่สุด
คดีที่ 3: บาร์ตี้ นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จทุกอย่าง (มาร์ติน ฟรีแมน) ต้องพบกับความอ้างว้างในบ้านใหญ่เป็นครั้งแรกเมื่อภรรยาท้องแก่เกิดมีปัญหาภาวะการตั้งครรภ์และต้องค้างอยู่ที่คลีนิก และเมื่อเวลา 03.45 น. มาถึง (อีกแล้ว) เขาก็พบกับเหตุการณ์ประหลาดที่เอานอนไม่หลับทีเดียว อารมณ์เรื่องเล่าในตอนนี้ยังกับหนังไทยเลย ผีหลอกในบ้านตัวเองงี้ อาจดูห้วนสั้นไปนิด แต่เอาจริงแล้วมันเหมือนรีบปิดอินโทรเพื่อเข้าเรื่อง ศจ.กู๊ดแมน กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งหมดมากกว่า
และบทสรุปเรื่องราวทั้งหมดก็ทำให้เราได้พบว่าจริง ๆ แล้ว นี่เป็นหนังที่เล่นกับความคิดการรับรู้ของคนเรา ตลอดจนคนดูมาก ๆ มันครีเอทแบบหนังอย่างพวกจิตวิทยาฝั่งฮอลลีวู้ดเลย ดูรวม ๆ ก็เหมือนไม่ได้มีอะไรใหม่มากนักจับพลอตที่เคย ๆ มีมาผูกใหม่ แต่กลายเป็นว่ามันได้หนังผีที่หลอกหลอนและสดใหม่ขึ้นมา เอาเป็นว่าจบคดีที่ 3 คุณก็เดาตอนจบไม่ค่อยถูกหรอก จนมันค่อยเฉลย ๆ ท้ายหนังนั่นล่ะ ความน่ากลัวอาจลดลงแต่ความสร้างสรรค์นี่ยกนิ้วให้เลย
ส่วนที่หนังยังทำไม่ถึงก็มีโปรดักชั่นที่ดูอังกฤษจ๋า (แน่ล่ะก็มันหนังอังกฤษ) แต่ความชัดและใสแบบพวกซีรีส์อังกฤษคิดว่ามันยังไม่ค่อยเหมาะกับหนังแนวนี้เท่าไหร่โดยเฉพาะช่วงเฉลยนั่นดูสว่างเคลียร์ไปหมด แล้วก็การเฉลยนี่เชื่อว่าด้วยความสร้างสรรค์ของมันคงมีทั้งคนชอบและไม่ชอบล่ะนะ และเรื่องสุดท้ายที่ไม่ชอบ คือการที่หนังยังใช้เสียงดังให้เราตกใจ คือก็ไม่ได้มากขนาดจงใจหรอก แค่คิดว่าหนังมันน่ากลัวโดยไม่ต้องมีเสียงจัมป์สแกร์ก็ได้ จะเป็นโรคหัวใจวายกันพอดี 555