รีวิว One Cut of The Dead วันคัทซอมบี้งับๆๆๆ-ซอมบี้ฮาแสบโดนใจคนกองถ่าย
เมื่อ ทาคายูกิ (ทาคายูกิ ฮิกูราชิ) ผู้กำกับไอเดียบรรเจิดคิดทำหนังซอมบี้ถ่ายแบบลองเทคไม่มีสั่งคัทในโรงงานร้างที่เคยเป็นแหล่งทดลองของกองทัพ จนทีมงานหน้ามนต์ทั้งนักแสดงนำอย่าง คาซูอากิ (คาซูอากิ คามิยะ) พระเอกสุดติสท์ในเมคอัพซอมบี้, ไอกะ (ยูซูกิ อากิยาม่า) นางเอกสาวสวยแต่เรื่องเยอะ, ฮารูมิ (ฮารูมิ ฮิกูราชิ) เมคอัพอาร์ตทิสต์บ้าพลัง,ฮิโรชิ (ฮิโรชิ ยามานูจิ) พรอพมาสเตอร์สายมึน, โทชิซูเกะ (จุนทาโร่ ยามาซากิ) บูมแมนกระเพาะคราก และ มานาบุ (มานาบุ โฮโซดะ) ตากล้องขี้เมา ต้องร่วมประสบเหตุการณ์สยองเมื่อซอมบี้ตัวจริงดันมาเป็นแขกรับเชิญจนทีมงานต้องใส่เกียร์หมาหนีการตามล่าก่อนถูกงับจนไม่ทันสั่งคัท
ก่อนอื่นขอบอกว่าเรื่องย่อที่เพิ่งอ่านกันไปเป็นแค่เรื่องราวในส่วนของฉากลองเทค 37 นาทีแรกของหนังเท่านั้น (อ้าว!) เพราะเรื่องราวอีก 60% ที่เหลือเราอยากให้ไปพิสูจน์กันเองในโรงภาพยนตร์ว่าทำไม One Cut of The Dead หนังซอมบี้ไอเดียสุดแหวกของผู้กำกับ ชินอิจิโระ อูเอดะ ถึงได้ประสบความสำเร็จระดับปรากฎการณ์จากเดิมเข้าฉายเพียง 3 โรงภาพยนตร์ในโตเกียวสู่กระแสชื่นชมจากทั้งคนดูและนักวิจารณ์จนได้ขยายไปฉายร่วม 200 โรงทั่วประเทศ แถมยังลามไกลไปฉายเทศกาลหนังสำคัญทั่วโลกและยังปรากฎเป็นหลักฐานยืนยันคุณภาพด้วยคะแนนเต็ม 100% บนเว็บไซต์หนังดังอย่าง Rotten Tomatoes อีกด้วย
โดยเนื้อหาส่วนอื่นที่เราพอจะบอกได้คือในส่วนเรื่องราวเบื้องหลังก่อนทีมงานทั้งหมดจะปรากฎกายในฉากลองเทค 37 นาทีตอนเปิดเรื่องที่หนังมุ่งวิพากษ์วิจารณ์วงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ญี่ปุ่นที่กำลังดิ่งเหวในแง่คุณภาพด้วยการลดค่าใช้จ่ายต่างๆเพื่อให้มีงานมาหากำไรเข้านายทุน โดยเอาตัวของ ทาคายูกิ ที่เหมือนเป็นภาพแทนของคนทำงานในฐานะผู้กำกับที่มักได้งานง่อยๆอย่างการถ่ายโฆษณาโรงพยาบาลงบน้อยๆ และถูกนายทุนอย่าง โยชิโกะ (โยชิโกะ ทาเคฮาระ)ผู้บริหารสถานี และ ชินอิจิโร (ชินอิจิโร โอซาวะ) โปรดิวเซอร์รายการเลือกมาทำหนังซอมบี้ทุนต่ำครั้งนี้เพื่อแสวงหาผลกำไรแบบเห็นภาพปลาใหญ่กินปลาเล็กชัดเจนเลยแหละ
และไม่แค่นั้นหนังยังใส่ตัวละครลูกสาวอย่าง มาโอะ (มาโอะ ฮิกูราชิ) ที่มีพ่อเป็นไอดอลจนตัวเองอยากเป็นผู้กำกับตาม ซึ่่งหนังก็ใส่สถานการณ์ที่มาโอะไม่กินเส้นกับแม่ของดาราเด็กจนถูกอัปเปหิออกจากกองถ่ายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความคิดอ่านแบบศิลปินตามประสาวัยรุ่นเด็กเรียนฟิล์มไฟแรงที่มุ่งสร้างงานคุณภาพตรงข้ามกับคนเป็นพ่อที่ต้องลดศักดิ์ศรีตัวเองทำงานง่อยๆเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวเปรียบเทียบภาพฝันที่วาดไว้กับความจริงอันฟอนเฟะได้เห็นภาพมากๆ
แต่จากที่เล่ามาอย่าเพิ่งคิดว่าหนังเรื่องนี้คือหนังดราม่าเคร่งเครียดเกี่ยวกับการถ่ายทำหนังนะครับ ตรงกันข้ามเลย หนังทำออกมาตลกมากโดยเฉพาะมุกเสียดสีวงการบันเทิงทั้งนักแสดงเรื่องมากไม่ยอมให้เนื้อหาตัวเลอะเทอะ นักแสดงสุดติสต์เดาใจยาก นักแสดงไร้ความรับผิดชอบทั้งเมาเหล้าตอนถ่ายไปจนถึงเทงานตัวเองแบบหน้าตาเฉย ซึ่งหนังเอาปัญหาต่างๆในกองมานำเสนอเป็นมุกตลกได้เข้าใจง่ายและอดจะหัวเราะดังๆลั่นๆไม่ได้เลยสักมุก รวมถึงปัญหาเฉพาะหน้าในกองถ่ายที่เชื่อเลยว่ายิ่งใครเรียนฟิล์มมาน่าจะเก็ตมุกในหนังแบบ 100% จนได้ทั้งขำและเอาไว้เมาต์กับเพื่อนในกองถ่ายหนังได้มันส์เชียวแหละ