รีวิว Venom ขอที่ว่างให้ซูเปอร์ฮีโร่ด้านมืดตัวนี้หน่อยนะ
หลังคะแนนในเว็บใหญ่ออกมาไม่ดีนัก ก็ทำเอาคนดูบ้านเราที่คาดหวังการมาถึงของซูเปอร์ฮีโร่ด้านมืดตัวนี้รู้สึกขยาดและผิดคาดไปพอควร แต่ด้วยสายตาของผู้เขียน ด้วยรูปแบบของหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำออกมาเพื่อตอบสนองความบันเทิง ก็อยู่ในระดับมาตรฐานนะ ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ประการใด หนังดูสนุกและมีเสน่ห์ในตัวเอง เปิดช่องทางใหม่ ๆ ในสถานะซูเปอร์ฮีโร่ด้านมืดได้สวยงาม ไม่โหดเหี้ยมจนมื่ดหม่นเกินไป เพราะหนังถูกตีกรอบให้อยู่ในเรต PG-13 ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นวีรบุรุษจ๋าอย่างเหล่ารุ่นพี่ เดินหน้าด้วยอุดมการณ์หม่น ๆ ของตัวเอง แลดูว่ามีทิศทางที่เด่นชัดของตัวเองและน่าจะก้าวต่อเป็นแฟรนไชส์ไปได้แน่นอน
ได้อ่านเบื้องหลังก่อนไปดู แล้วก็รู้สึกเครียดแทนผู้สร้างเวนอมครับ จะสร้างต่อจาก Spiderman 3 ที่เป็นภาคเปิดตัวเวนอม โธเฟอร์ เกรซ ก็บอกว่าฉันจะไม่ตามมาเป็นเวนอมนะ แล้วหนังก็รีบู๊ตใหม่ เวนอมภาคแยกก็จะตามออกมาอีก หนังดันหยุดอยู่แค่ภาค 2 ก็ต้องชะงักอีกเพราะโซนี่ไปตกลงเรื่องลิขสิทธิ์กับมาร์เวลได้ สุดท้ายเวนอมคลอดออกมาได้ แต่ก็ต้องรื้อเนื้อหาใหม่หมดเพราะเวนอมเป็นตัวละครในจักรวาลสไปเดอร์แมน แต่ว่าขณะนี้ “สไปเดอร์แมน”เป็นลิขสิทธิ์ร่วมระหว่างโซนี่กับมาร์เวล แต่เวนอมเป็นหนังโซนี่ จึงไม่สามารถอ้างอิงอะไรกับตัวละครและเรื่องราวของสไปเดอร์แมนได้เลย สรุปว่าหนังก็ต้องเขียนที่มาของเวนอมขึ้นใหม่ไม่ให้เกี่ยวข้องกับสไปเดอร์แมน รวมถึงภาพลักษณ์เดิมที่เหมือนเป็นสไปเดอร์แมนด้านมืด ก็ต้องถูกออกแบบมาใหม่เช่นกัน คงเพียงการอ้างถึงอดีตของเอ็ดดี้ บร็อค ว่าเคยทำงานอยู่ เดลี่ บูเกิ้ล ในนิวยอร์ค หนังสือพิมพ์เดียวกันกับที่ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เคยทำงานอยู่เพียงเท่านั้น
หนังมาตามฟอร์มของหนังภาคแรก ก็เลยต้องปูที่ไปที่มาของเวนอมกันยาวนานหน่อย รักเวนอมต้องใจเย็นหน่อยนะ เพราะกว่าเวนอมจะปรากฏโฉมก็ปาเข้าไปครึ่งเรื่องแล้ว บทหนังกำหนดที่ไปที่มาให้เวนอมว่าเป็นปรสิตจากต่างดาว มีรูปร่างเป็นเมือกน่าเกลียด มันถูกค้นพบโดยยานอวกาศขององค์กรไลฟ์ ฟาวเดชั่น แล้วจับเจ้าเมือกปรสิตนี้กลับมาโลกด้วย แต่ยานก็เกิดตกในมาเลเซีย เมือกหลายตัวถูกส่งกลับเข้าห้องทดลองในซานฟรานซิสโก ส่วนตัวหนึ่งเล็ดลอดไปได้ด้วยการเข้าสิงร่างมนุษย์โชคร้ายเป็นพาหะ ช่วงต้นนี้หนังมาในบรรยากาศของหนังสยองขวัญ กับการที่ปรสิตต่างดาวย้ายร่างพาหะไปเรื่อยเพื่อเดินทางจากมาเลเซียมาซานฟรานซิสโก ในเส้นเรื่องคู่ขนาน หนังก็เล่าชะตากรรมของเอ็ดดี้ บร็อค ที่มีความบาดหมางกับองค์กรไลฟ์ ฟาวเดเชั่น และหาทางเปิดโปงโครงการทดลองลับนี้ ทำให้เขาพลาดท่าถูกปรสิตต่างดาวเข้ายึดร่างเป็นพาหะ แต่การรวมร่างแล้วกลายเป็นเวนอมนั้นกลับเล่าด้วยอารมณ์ขัน ความตื่นกลัวกับเสียงและการเรียนรู้ความสามารถของเวนอมในร่างถูกใช้เป็นมุกที่ได้เสียงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้าย เมื่อวายร้ายของเรื่องเปิดตัวอย่างจริงจัง ก็เข้าสู่โหมดหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่างชัดเจน
บทหนังใช้ทีมเขียนบทถึง 4 คน และหนึ่งในนั้นคือ เคลลี่ มาร์เซล ภรรยาตัวจริงของทอม ฮาร์ดี้ เอง ที่รูเบ็น ไฟลเชอร์ เชิญมาทำหน้าที่เกลาบทในร่างสุดท้าย เฉพาะส่วนที่บรรยายลักษณะตัวตนของเอ็ดดี้ บร็อค เท่านั้นเพื่อให้เข้ากับบุคลิกของทอม ฮาร์ดี้มากขึ้น เพราะในฐานะภรรยาน่าจะทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด ซึ่งเธอก็เคยทำหน้าที่นี้มาแล้วในหนัง Mad Max Fury Road ซึ่งบทของเอ็ดดี้ บร็อค ก็ถูกบรรยายออกมาได้ดี มีเอกลัษณ์เด่นชัดในฐานะนักข่าวที่รักในอาชีพของตัวเอง ในด้านการงานเขามีจรรยาบรรณสูงยอมหักไม่ยอมงอ แต่กับบุคลิกส่วนตัวเขากลับรักสันโดดเลือกที่จะไม่ปะทะกับใคร จนถูกตราหน้าว่า “ไอ้ขี้แพ้” แต่เมื่อกลายเป็นพาหะให้เวนอม เสมือนการมาเติมเต็มช่องว่างให้เอ็ดดี้ เวนอมจึงมีส่วนผสมระหว่างคุณธรรมที่อยู่ในสามัญสำนึกของเอ็ดดี้ และด้านโหดก้าวร้าวที่มากับปรสิตเวนอม กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งบทหนังก็ใส่พัฒนาการในส่วนนี้ให้เห็นได้ชัด แต่ขณะที่บทหนังดูให้ความสำคัญกับพัฒนาการของเอ็ดดี้ บร็อค แต่กับส่วนของวายร้ายของเรื่องที่ใช้เวลาปูความมาทั้งเรื่อง ก็หาได้มีพิษสงที่ร้ายการสมกับการรอคอยเลย การเข้าถึงพาหะก็ช่างง่ายดาย รวมถึงฉากปะทะกับเวนอมท้ายเรื่องก็เช่นกัน
ด้วยข้อกำหนดที่ว่า ปรสิต เป็นสถานะเมือกเหลวและเปลี่ยนสถานะรูปร่างได้ตามใจชอบ ทำให้ความตั้งใจเดิมของทีมงานที่จะสร้างภาพตัวเวนอมด้วยเทคนิกสต็อปโมชั่น แบบเดียวกับเหล่าลิงใน Planet Of The Ape , King Kong และ กอลลัม ใน Lord Of The Rings ต้องเป็นอันล้มเลิกไป เพราะเทคนิกสตอปโมชั่นไม่สามารถจำลองสายตา ลิ้น และฟัน ทีเป็นเอกลัษณ์เด่นของตัวเวนอมจากต้นแบบที่เป็นคนแสดงได้ สุดท้ายตัวเวนอมที่เห็นบนจอจึงเป็นภาพซีจีล้วน ๆ ข้อดีคือหลุดพ้นข้อจำกัด และสร้างภาพได้อิสระตามจินตนาการทีมงาน แต่ข้อเสียก็คือตัวเวนอมดูขาดความสมจริง โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง เหมือนดูงานโชว์ฉากซีจีที่หลุดโลกและดูเป็นการ์ตูนเกินไป
สรุปได้ว่า Venom เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกเรื่อง ที่มีแนวทางแปลกใหม่ มีความดาร์คในตัวพอควร เสียดายที่ว่าหนังถูกนายใหญ่ในโซนี่ประกาศจัดว่าต้องเป็น PG-13 เท่านั้น เพราะความโหดของเวนอมถ้าได้ไปเรต R จะสนุกสะใจกว่านี้นัก แต่โดยรวมหนังก็ทำออกมาได้หลากรสชาติ ได้ตื่นเต้น ได้หัวเราะ จะมีติก็ในส่วนแอ็คชั่นที่ไม่ได้แปลกใหม่ตื่นตา และงานซีจีที่หลุดโลกมากไป จนขาดความสมจริง
หนังมีโพสต์เครดิตหนึ่งฉาก ไม่ต้องรอนานและแนะนำว่า “ต้องดู” ครับ เปิดเผยวายร้ายตัวใหม่ในภาคต่อไป