เฮี้ยนแรง แสดงเสร็จต้องเข้าสถานบำบัดทางจิต! ใน Suspiria

เฮี้ยนแรง แสดงเสร็จต้องเข้าสถานบำบัดทางจิต! ใน Suspiria

เฮี้ยนแรง แสดงเสร็จต้องเข้าสถานบำบัดทางจิต! ใน Suspiria
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

หากกล่าวถึงหนังสยองขวัญในยุค 1977 คนในยุคนั้นคงไม่มีใครไม่รู้จักผลงานสยองขวัญสุดจิต และสะเทือนขวัญเรื่อง Suspiria อันเป็นผลงานการกำกับของดาริโอ อาร์เจนโต ผู้กำกับเชื้อสายอิตาลี ซึ่งเวอร์ชั่นต้นฉบับนั้นบอกเล่าเรื่องราวของซูซี่ (เจสสิก้า ฮาร์เปอร์) นักบัลเลต์สัญชาติอเมริกาที่ได้รับทุนในการเข้าเรียนต่อที่ Tanz Dance Academy แต่ค่ำคืนแรกที่มาถึง เธอกลับไม่สามารถเข้าไปพักในโรงเรียนได้ ระหว่างที่เธอกดกริ่งเรียกใครสักคน มีนักเรียนหญิงที่มีท่าทีแตกตื่นและวิ่งหนีอะไรบางอย่าง วันถัดมาซูซี่กลับมายังโรงเรียนแห่งนี้อีกครั้งและค้นพบว่าหญิงสาวเมื่อคืนนั้นเสียชีวิตอย่างสยดสยองจากการโดนฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น เธอและเพื่อนอีกคนอย่างซาร่า (สเตฟานี่ คาซินี่) จึงพยายามค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น แต่ยิ่งสืบลึกพวกเธอก็ยิ่งค้นพบความลับที่น่ากลัวของโรงเรียนแห่งนี้

 

 

หนังเวอร์ชั่น1977 แห่งความทรงจำ

ความโดดเด่นของ Suspiria ไม่ได้อยู่ที่เนื้อเรื่องของหนัง ซึ่งเอาเข้าจริงๆพล็อตไม่ได้มีความแปลกใหม่สำหรับแนวทางหนังสยองขวัญแต่อย่างใด หากแต่เป็นองค์ประกอบศิลป์ในหนังที่เต็มไปด้วยความฉูดฉาด โดยเฉพาะการเลือกใช้สีแดงอันเป็นโทนสีหลักของเรื่อง ประกอบกับหนังยังเลือกใช้เทคนิค Technicolor ซึ่งในยุค 70s เทคนิคนี้จัดเป็นการใช้ฟิล์มที่มีราคาแพง แต่จุดเด่นของฟิล์มชนิดนี้คือเฉดสี “แดง” ที่มีความรุนแรง ฉูดฉาดเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นสีแดงในหนังเรื่องนี้เน้นไปที่ “เลือด” ของตัวละคร ผลลัพธ์ที่ออกมาในหนังเรื่องนี้ทำให้สีแดงเป็นตัวช่วยในการบอกเล่าเรื่องราว รวมไปถึงสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่เรื่องการเลือกใช้สีในหนังเท่านั้น แต่การออกแบบภาพ มุมกล้อง รวมไปถึงวิธีการตัดต่อ Suspiria ยังแทรกสอดนัยเชิงสัญลักษณ์ตลอดทั้งเรื่องด้วยเช่นกัน

 

 

เกิดอะไรในเวอร์ชั่นปี 2018

Suspiria ในเวอร์ชั่นล่าสุดบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1977 ซูซี่ แบนเนี่ยน (ดาโกต้า จอห์นสัน) นักเต้นบัลเลต์สาวจากอเมริกาได้เดินทางมายังคณะบัลเลต์ชื่อดัง พรสวรรค์ในการเต้นของซูซี่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ มาดามบลังค์ (ทิลด้า สวินตัน) หัวหน้าผู้ฝึกสอนของคณะมีความแน่นแฟ้นขึ้นอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าจุดประสงค์ของเธอนั้นไม่ได้มาเพื่อการเต้นรำเท่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกัน หญิงสาวภายในคณะก็เริ่มทยอยหายตัวไปอย่างลึกลับ ความหวาดกลัวเริ่มฝังรากลงไปในจิตใจของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และความชั่วร้ายที่แอบแฝงอยู่ภายใต้โฉมหน้าของคณะบัลเลต์ที่มีชื่อเสียงก็เริ่มเผยเขี้ยวเล็บออกมา พร้อมกับเสียงคร่ำครวญของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของมัน

 

 

แสดงเสร็จต้องเข้าสถานบำบัด

 

ดาโกต้า จอห์นสันนักแสดงนำผู้รับบทซูซี่ อย่างที่เราทราบกันดีว่าเธอโด่งดังมาจากบทอนาสตาเซีย สตีล จากภาพยนตร์ไตรภาค 50 Shades of Grey นอกจากนี้เธอยังมีโอกาสได้แสดงหนังของผู้กำกับ ลูก้า กัวดาญิโน่ เรื่อง A Bigger Splash และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เธอได้รับการทาบทามจากผู้กำกับให้มาแสดงนำใน Suspiria เมื่อเธอลองทำการบ้านด้วยการไปหาหนังเวอร์ชั่นต้นฉบับมาดู เธอยกย่องทันทีว่าหนังเรื่องนี้เป็นผลงานในระดับมาสเตอร์พีซ และเมื่อเธอตัดสินใจแสดง ดาโกต้าจึงพยายามทำการบ้านเกี่ยวกับตัวละครซูซี่

 

ซูซี่เป็นตัวละครที่เติบโตมาจากครอบครัวโปรเตสแตนต์ ตั้งแต่เธอเกิดมา เธอก็รู้สึกว่าใจของเธอไม่ได้อยู่กับศาสนา ธรรมเนียม และกฎระเบียบที่ครอบครัวของเธอยึดมั่นเลยแม้แต่น้อย เธออยากจะออกไปเปิดโลกกว้าง สัมผัสกับเสน่ห์อันเย้ายวน และความน่าตื่นเต้นของมัน และเธอก็มีพลังบางอย่างอยู่ในตัวที่แม้แต่เธอเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนด้วยถึงแม้ว่าซูซี่จะขาดประสบการณ์ที่มีต่อโลกภายนอก เธอก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเธอทำให้ทุกคนในคณะบัลเลต์ต่างต้องตกตะลึง การเติบโตและเปลี่ยนแปลงของตัวละครนี้ การสวมบทเพื่อให้ตัวละครสมบูรณ์แบบ ดาโกต้า จอห์นสันถึงกับต้องเข้ารับการบำบัดสภาพจิตใจหลังจากหนังปิดกล้อง เพราะว่าตัวละครซูซี่ในหนังเรื่องนี้เธอต้องพบกับเรื่องราวที่ทรมานจิตใจเป็นอย่างมาก

 

 

ตากล้องสัญชาติไทย!

ผู้กำกับลูก้า กัวดาญิโน่ ก่อนที่เขาจะมานั่งแท่นผู้กำกับเรื่อง Suspiria เขาคือผู้กำกับของหนังเรื่อง Call Me by Your Name ซึ่งได้รับคำชื่นชมอย่างมากในแง่ของความงดงามของภาพยนตร์ ยังไม่รวมไปถึงงานถ่ายภาพและกำกับภาพซึ่งเป็นผลงานของสยมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพสัญชาติไทยที่ได้รับรางวัล Independent Spirit Award จากเรื่อง Call Me by Your Name

 

การกลับมากำกับภาพในครั้งนี้เขาจึงเลือกตีความใหม่และลองเปลี่ยนจากโทนสีฉูดฉาดแบบต้นฉบับให้กลายเป็นโทนสีที่เข้ากับยุคสมัยของเรื่องราวฉากหลังมากกว่า เนื่องจากเหตุการณ์ใน Suspiria เกิดขึ้นในเยอรมัน กลางกรุงเบอร์ลินปี 1977 เขาจึงอยากจะจำลอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอยู่ในช่วงนั้น แทนที่จะจำลองเพียงแค่บรรยากาศหรือทำอย่างลวกๆ ทีมงานจึงได้มีการใช้หลายเฉดสี อย่างสีเทา สีน้ำตาล สีสนิม สีฟ้าอ่อน และสีเขียว เพื่อให้ภาพที่ออกมาสะท้อนถึงยุคดังกล่าวและภาพลักษณ์ของหนังเยอรมันที่สร้างในยุคนั้น

 

Suspiria ในเวอร์ชั่นล่าสุด จึงเป็นการตีความใหม่และเล่าในมุมมองใหม่ที่น่าจับตา เพราะนอกจากคนดูจะได้สัมผัสความน่าขนลุกแล้ว ยังได้ดูหนังรีเมคที่มีอะไรมากกว่าแค่การหยิบงานเก่าเอามาเล่าใหม่ด้วยนั่นเอง

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook