รีวิว Overlord หนังระทึกขวัญที่ใส่ความบ้าแต่ไปไม่สุดสักทาง

รีวิว Overlord หนังระทึกขวัญที่ใส่ความบ้าแต่ไปไม่สุดสักทาง

รีวิว Overlord หนังระทึกขวัญที่ใส่ความบ้าแต่ไปไม่สุดสักทาง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

 

อันที่จริงก่อนจะเข้าไปดู Overlord นั้นตัวผู้เขียนตั้งความหวังเอาไว้พอสมควร ว่ามันน่าจะเป็นส่วนผสมระหว่างหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 กับหนังสยองขวัญที่น่าสนใจ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งหนังดำเนินเรื่องไปข้างหน้า เรากลับรู้สึกปราศจากอารมณ์ร่วมไปกับหนังมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งท้ายที่สุดแล้ว นี่อาจจะเป็นหนังอีกเรื่องในรอบปีที่เรารู้สึกดูแล้ว “ผิดหวัง” มากที่สุดเรื่องหนึ่งของปี 2018

 

พล็อตเรื่องของ Overlord ว่าด้วยปฏิบัติการทางทหารของ พลร่มอเมริกาที่เดินทางมาร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเขตแดนของประเทศฝรั่งเศส ระหว่างที่เคลื่อนพลทางเครื่องบินนั้น พวกเขาก็โดนฝั่งเยอรมันโจมตีอย่างหนักหน่วง ไม่ช้าเครื่องบินที่พวกเขาโดยสารมาก็ถูกยิง พลทหารจึงโดดร่มลงไปยังพื้นที่ใกล้จุดหมาย เพียงเพื่อทำภารกิจในการบุกเข้าไปทำลายเครื่องส่งสัญญาณวิทยุ ซึ่งน่าจะตั้งอยู่ในโบสถ์กลางหมู่บ้านแห่งหนึ่งกลางป่าลึก ซึ่งเต็มไปด้วยทหารเยอรมันอารักขาโดยรอบ

 

โชคเข้าข้างทหารอเมริกาเมื่อพวกเขาได้พบกับหญิงสาวชาวบ้านที่นำทางพวกเขาไปยังหมู่บ้าน ระหว่างที่กำลังหาทางแทรกซึมและหลบสายตาทหารเยอรมันไปยังโบสถ์ พลทหารบอยซ์ (โจแวน อะดีโป้) ค้นพบอุโมงค์ที่อยู่ใต้โบสถ์ ซึ่งบรรดาทหารและนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันได้ทำการทดลองบางอย่าง แต่ยิ่งสำรวจมากขึ้นแค่ไหน เขากลับค้นพบว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวและต้องทำการยับยั้งให้ไวที่สุด เท่าที่นายทหารคนหนึ่งพึงจะกระทำได้

 

 

 

กว่าที่ Overload จะเข้าเรื่อง หนังก็มัวแต่เสียเวลาปูเรื่องจนเกินความพอดี และก็อดไม่ได้ที่เรารู้สึกว่า บรรดาตัวละครทหารกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้เรา (อาจจะเราคนเดียว) รู้สึกอยากจะเอาใจช่วยให้พวกเขารอดชีวิตนัก แน่นอนหลายครั้งพฤติกรรมของพวกเขาก็ดูไม่ค่อยจะมีสติเท่าไหร่ ซึ่งดูเหมือนตัวละครคนเดียวที่สติไม่กระเจิดกระเจิงนักคือ พลทหารฟอร์ด (ไวแอต รัสเซล) แต่ก็เหมือนกับว่าบทภาพยนตร์ได้ดีไซน์ตัวละครทั้งสองออกมาให้เหมือนกับ “ขั้วตรงข้าม” เพื่อทำให้คนดูได้เปรียบเทียบระหว่าง ความเท่าทันต่อโลกและความอ่อนต่อโลก ในเวลาเดียวกัน

 

น่าเสียดายอีกเช่นกันที่ส่วนสยองขวัญของ Overlord แทบไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือเหนือความคาดหมาย ถ้าหากคุณเคยดูหนังในกลุ่ม “จับคนมาทดลอง” หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ให้เราเห็นอะไรที่แปลกใหม่ ทุกอย่างดำเนินตามสูตรสำเร็จและซ้ำซาก อารมณ์ขันในเรื่องก็ค่อนข้างฝืดเฝือและมาไม่ค่อยถูกจังหวะเวลา ตัวร้ายอย่างเยอรมันก็ดูแบนราบไร้ที่มาที่ไป และซีนไคลแมกซ์ท้ายเรื่องก็เป็นความพยายามจะดันตัวเองให้กลายเป็นหนังคัลท์ๆ ที่ดูยังไงก็ดูไปไม่ถึงความบ้าบอนัก

 

ท้ายที่สุดเราก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า Overlord เป็นหนังที่พยายามจะใส่ “ลูกบ้า” แต่สุดท้ายก็ทำได้ไม่ถึง และสำหรับเราสนุกน้อยกว่าที่มันควรจะเป็นเยอะเลยทีเดียว

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook