“Coldplay: A Head Full of Dreams” ไฟแห่งฝัน… ที่ยังคงไม่มอดไหม้
บางครั้ง … ความทะเยอทะยานที่มากจนเกินไป อาจส่งผลร้ายกับชีวิตใครบางคน หรือแม้แต่วงดนตรีบางวง แต่ไม่ใช่กับ Coldplay
เมื่อค่ำวานนี้ (14 พฤศจิกายน 2561) อีเวนต์ระดับบิ๊กสเกลในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกได้ถือกำเนิดขึ้น กับการฉายสารคดีวงดนตรีชื่อดังจากเกาะอังกฤษอย่าง Coldplay ภายใต้ชื่อ “Coldplay: A Head Full of Dreams” เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ก่อนจะมุ่งหน้าไปฉายต่อทาง Amazon Video ในวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้
แน่นอนว่าสาวกทั่วโลกของ Coldplay คงจะใจเต้นโครมครามนับตั้งแต่ที่เทรลเลอร์แรกเผยแพร่สู่สาธารณชน ในขณะที่แฟนเพลงชาวไทยต่างก็ลุ้นด้วยใจระทึกว่าจะเข้าฉายในบ้านเราหรือไม่ ท้ายที่สุดก็มีข่าวดีจาก Documentary Club เจ้าเก่าที่สร้างความชื่นมื่นให้ผู้ที่หลงใหลในท่วงทำนองของ 4 สมาชิกอย่าง คริส มาร์ติน (ร้องนำ), จอนนี่ บัคแลนด์ (กีตาร์), กาย เบอร์รีแมน (เบส) และ วิล แชมเปี้ยน (กลอง) แต่ด้วยรอบและโรงฉายที่น้อยเอามากๆ บัตรชมภาพยนตร์จึงขายหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว แม้จะมีการเพิ่มโรงฉายอีกเล็กน้อย ทว่าก็ดูเหมือนยังไม่พอเพียงต่อความต้องการของผู้ชมเท่าใดนัก
เพราะเหตุใดน่ะหรือ? คำตอบก็คือ คนรัก Coldplay ในเมืองไทยมีอยู่ท่วมท้นน่ะสิ ถ้ายังจินตนาการไม่ออก ลองนึกย้อนกลับไปสู่ภาพคอนเสิร์ต Coldplay A Head Full of Dreams ที่จัดขึ้น ณ ราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อ 7 เมษายน 2560 ดูสิ ว่าคนแน่นอัฒจันทร์แค่ไหน
และสิ่งที่น่าสนใจไปมากกว่าการบอกเล่าเรื่องราวตลอด 20 ปีที่ผ่านมาบนถนนสายดนตรีของเจ้าของ 7 รางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส์ กับอีก 9 รางวัลบริต อวอร์ดส์ ก็คงหนีไม่พ้นชื่อของผู้กำกับบ้านเกิดเดียวกันอย่าง แมต ไวท์ครอสส์ ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วเคยทำให้สารคดี “Oasis: Supersonic” ที่ว่าเจาะลึกทุกซอกมุมความสัมพันธ์ของพี่น้องตระกูลกัลลาเกอร์อย่าง โนล และ เลียม ให้กลายเป็นที่พูดถึงแบบกระหึ่มวงการจอฟิล์มอยู่พักใหญ่
“Coldplay: A Head Full of Dreams” เล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน โดยนำเอาภาพฟุตเทจตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวง ตัดสลับกับภาพการแสดงสดบนเวทีกว่าร้อยโชว์ของเวิลด์ทัวร์อัลบั้ม A Head Full of Dreams ซึ่งกลายมาเป็นชื่อสารคดีในท้ายที่สุด ระหว่างนั้น หนังก็พาผู้ชมไปสัมผัสกับความรักที่พวกเขามีให้กับ “ดนตรี” คริส-จอนนี่-กาย-วิล ในวัยเด็ก ต่างก็มีความฝันที่อยากจะเล่นดนตรี เป็นนักดนตรี เป็นศิลปินที่โด่งดังในสักวัน
ซึ่งจากความฝันนั้น ก็กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาสร้างดนตรีที่พวกเขาอยากทำขึ้นมา จับพลัดจับผลูดังเป็นพลุแตก ชื่อเสียงที่ได้รับแปรผันเป็นความทะเยอทะยานอันแรงกล้า มันมากล้นจนใครบางคนกลับมองในอีกแง่ว่าพวกเขา (หรืออาจจะเป็น คริส มาร์ติน คนเดียว) ที่ติดพันอยู่ในกับดักแห่งความมั่นใจในตนเอง บางจังหวะของชีวิต พวกเขาก็ต้องล้มลุกคลุกคลาน เผชิญหน้ากับปัญหาชีวิตที่ยากจะแก้ไข แต่แล้วคำว่า “มิตรภาพ” ที่พวกเขากล่าวอยู่เสมอในหนังว่า Coldplay ไม่ใช่ “เพื่อน” แต่เป็น “ครอบครัว” ก็นำพาให้รอดพ้นจากอุปสรรคต่างๆ นานาได้เสมอ และปิดฉากอย่างอลังการ กับเวิลด์ทัวร์ที่พวกเขาอยากจะทำมากที่สุด สมดั่งใจมากที่สุด และมีความสุขที่สุด
จะว่าไปแล้ว อันที่จริง “Coldplay: A Head Full of Dreams” เป็นสารคดีวงดนตรีสูตรสำเร็จอย่างแท้จริง เราค่อนข้างเดาออกได้ไม่ยากว่าเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร จากจุดเริ่มต้นของวง ค่อยๆ ดิ้นรนต่อสู้ในฐานะวงดนตรีโนเนม เล่นอยู่ในผับเล็กๆ ย่านแคมเดน สู่การเป็นศิลปินที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ที่ผ่านเวทีมิวสิคเฟสติวัลระดับโลกอย่าง Glastonbury รวมไปถึงเวิลด์ทัวร์ระดับสนามกีฬาของทุกประเทศที่ไปเยือน เล่าความสัมพันธ์ของสมาชิกในวง ปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ก่อนจะคลี่คลายในท้ายที่สุด Coldplay ยังคงเดินหน้าต่อไป สร้างแรงบันดาลใจและพลังบวกให้กับผู้ชมได้ชะงัดนัก แต่ในขณะเดียวกัน หนังก็ไม่ได้สร้างบิ๊กเซอร์ไพรส์อะไรสักเท่าไหร่ตลอด 115 นาทีที่รับชม
แน่นอนว่าบรรดาฟุตเทจนับตั้งแต่ 4 สมาชิกยังร่ำเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยและก่อตั้งวงดนตรีสักวงขึ้นมา คงเป็นภาพที่หาดูไม่ง่ายนัก แต่ก็อาจไม่แตกต่างไปจากสารคดีศิลปินเพลงเรื่องอื่นๆ มากเท่าไหร่ ทว่าความโชคดีมันอยู่ตรงที่ผู้กำกับอย่าง แมต ไวท์ครอสส์ เองก็เป็นเพื่อนที่รู้จักมักจี่กับวง Coldplay มาตั้งแต่แรกเริ่ม ตามถ่ายตามเก็บฟุตเพจของพวกเขามาโดยตลอด ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นฟิล์มจึงลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ราวกับว่า ผู้ชมได้ผูกสัมพันธ์ฉันมิตรกับคริสและผองเพื่อนอย่างง่ายดาย
ลูกเล่นในการตัดต่อที่ฉับไว ร่วมสมัย และอารมณ์ขันในเชิงกวนๆ ที่สอดแทรกอยู่เป็นระยะนั้นสร้างเสน่ห์ให้สารคดีเรื่องนี้อยู่มากทีเดียว โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ศิลปินมานั่งหน้ากล้องและพูดพร่ำอะไรมาก แต่กลับใช้วิธี voice over ที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพแทน ใครที่กังวลว่าแยกเสียงของสมาชิกทั้ง 4 คนไม่ออก แมต ไวท์ครอสส์ ก็ขึ้นชื่อบนหน้าจอตลอดว่า นี่คือเสียงของใคร
แม้ปมขัดแย้งจะไม่รุนแรงเท่าประเด็นของสองพี่น้องไม้เบื่อไม้เมาอย่าง โนล และ เลียม กัลลาเกอร์ แห่งคณะ Oasis ในสารคดี Supersonic ซึ่งก็เป็นฝีมือการกำกับของ แมต เช่นกัน หรืออาจจะไม่ทรงพลังเท่าเมื่อนำไปเปรียบกับ Amy ที่เล่าเรื่องราวอันแสนรันทดของศิลปินสาว เอมี ไวน์เฮาส์ ผู้ล่วงลับ ทว่า “Coldplay: A Head Full of Dreams” ก็ทำให้เรารับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ในฐานะศิลปินของวง Coldplay อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่วนพาร์ตของความเป็นปุถุชนคนธรรมดา หนังได้พาผู้ชมเข้าไปแตะโลกใบนั้นอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ความเป็นครอบครัวที่ไม่เคยทิ้งกัน ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นเฉพาะกับคนในวง แต่กับผู้จัดการวงหรือทีมเทคนิเชียนก็ได้รับสิ่งดีๆ เหล่านั้นเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่า ทีมงานบางคนอยู่กับ Coldplay มาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเป็นความตั้งใจของทั้งทางวงเองและผู้กำกับที่อยากเล่าด้านสว่างไสวมากกว่าที่จะขุดเข้าไปถึงดาร์กไซด์ให้ผู้ชมเครียดเสียเปล่า
และเมื่อย้อนกลับไปที่ชื่อสารคดี ชื่ออัลบั้มชุดที่ 7 และชื่อเวิลด์ทัวร์ครั้งล่าสุดของ Coldplay อย่าง A Head Full of Dreams แล้ว ก็ยิ่งทำให้เราเข้าใจตัวตนของ Coldplay มากยิ่งขึ้น ไฟแห่งฝันที่ยังคงคุกรุ่น ไม่มอดไหม้ไปตามกาลเวลา ทำให้พวกเขายังคงสร้างสรรค์ผลงานเพลงออกมาในแบบที่พวกเขาต้องการ ไม่เคยซ้ำรอยย่ำของรองเท้าคู่เก่า แม้จะหลงทิศหลงทางไปบ้าง แต่ความฝันและความทะเยอทะยานนี่แหละที่พาพวกเขากลับเข้าฝั่งได้ทุกครั้งไป
แม้ว่าเรื่องราวชีวิตในลำดับถัดไปของ Coldplay จะยังไม่มีใครทราบว่าจะเป็นเช่นไร แต่สิ่งที่เรารู้แล้วแน่ๆ ก็คือ Coldplay จะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่นอน
และยิ่งเมื่อเห็นตัวอักษรปรากฏคำว่า BANGKOK ตรงมุมซ้ายล่างของจอ ภาพความสนุกที่ราชมังคลากีฬาสถาน คริส มาร์ติน ไปนั่งให้สัมภาษณ์กับผู้กำกับที่ชั้นบนสุดของอัฒจันทร์ของสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมไปถึงการเดินทางไปชมมวยไทย และอัดเสียงบางอย่างที่เกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนั้นลงในสมาร์ทโฟน
เรายิ่งหลงรัก Coldplay มากขึ้นอีกด้วยซ้ำไป…
อิ่มเอมกับเพลย์ลิสต์ของ Coldplay ต่อ คลิกฟังเลย
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ