10 หนังท่าดีทีเหลวแห่งปี 2018
เมื่อย่างเข้าเดือนธันวาคม เป็นช่วงเวลาที่เราจะมามองย้อนกลับไปดูว่าหนังต่างประเทศที่เข้าฉายในบ้านเราในปี 2018 นั้นมีเรื่องไหนดูเหมือนว่าจะดี แต่เอาเข้าจริงพอเราได้ชมภาพยนตร์กลับให้ความรู้สึกกลับตาลปัตรกับความคาดหวังไว้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือบ้าง โดยเราจะพิจารณาโดยใช้เกณฑ์จาก
1.บทภาพยนตร์
2.ความบันเทิง
3.รายได้บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก
มาดูกันว่าทั้ง 10 เรื่องจะประกอบไปด้วยเรื่องอะไรบ้าง
Goodbye Christopher Robin
อันที่จริงปีนี้มีการหยิบเอาเรื่องราวที่เกี่ยวกับ วินนี่ เดอะพูห์ มาสร้างเป็นหนังถึง 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกคือ Goodbye Christopher Robin ค่ายวอร์เนอร์ บราเธอร์ และ Christopher Robin ของค่ายดิสนีย์ แต่สำหรับ Goodbye Christopher Robin นั้นเน้นเล่าไปที่ชีวิตของอลัน มิวล์เน่กับลูกชายคริสโตเฟอร์ โรบินและการแต่งนิทานเรื่องวินนี่ เดอะ พูห์ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าหนังค่อนข้างเล่าชีวิตของตัวละครออกมาน่าเบื่อและชวนหลับเอาซะมากๆ ทำให้ความคาดหวังแรกเริ่มของสตูดิโอว่าหนังเรื่องนี้อาจจะมีลุ้นไปออสการ์ กลับกลายเป็นถูกลืมไปในทันทีหลังจากที่หนังออกฉาย
Winchester
การได้นักแสดงระดับดีกรีออสการ์อย่างเฮเลน มิเรนมารับบทนำในหนังสยองขวัญจัดเป็นปรากฏการณ์ที่แฟนหนังทั่วโลกจับตามอง ยิ่งไปกว่าหนังยังหยิบเอาบ้านประหลาดที่มีอยู่จริงในประเทศอังกฤษอย่างวินเชสเตอร์ มาเป็นฉากหลังยิ่งเพิ่มความน่าสนใจ แต่กลายเป็นว่าความพยายามแต่งเรื่องราวเป็นตุเป็นตะของคุณนายซาร่าห์ วินเชสเตอร์ (เฮเลน) ว่าทำไมเธอถึงต้องต่อเติมบ้านเพื่อป้องกันวิญญาณร้ายผู้โกรธแค้นตระกูลวินเชสเตอร์นั้น กลับดูเลอะเทอะและน่าเบื่อ ใครจะไปเชื่อว่าหนังผีเรื่องนี้ ใช้เสียงดนตรีประกอบตุ้งแช่ซ้ำซากจนทำให้คุณสามารถหลับคาเบาะโรงหนังได้เลยทีเดียว
Tomb Raider
ความพยายามรีเมคและวาดฝันว่านี่จะเป็นแฟรนชายส์เรื่องใหม่ของค่ายวอร์เนอร์ อันที่จริงตัวหนังไม่ได้เลวร้ายนัก แต่ช่วงแรกของหนังทูม เรเดอร์เวอร์ชั่นนี้ก็จัดได้ว่าเดินเรื่องได้เนิบนาบพอสมควร เรื่องราวทั้งหมดยังคงโฟกัสไปลาร่า ครอฟท์และการตามล่าหาขุมทรัพย์โบราณ (และตามหาพ่อที่หายตัวไป) แต่กลายเป็นว่าคำวิจารณ์ออกมาก้ำกึ่งและทำเงินในอเมริกาเหนือน้อยกว่าที่สตูดิโอตั้งเป้าไว้ โชคยังดีที่หนังไม่ได้เจ็บตัวมาก เนื่องจากทุนสร้าง 94 ล้านเหรียญฯ เมื่อรวมยอดทั้งหมดทั่วโลกแล้ว Tomb Raider ที่มีดาราสาวอย่างอลิเซีย วิแกนเดอร์เป็นนางเอกนั้นทำรายได้อยู่ที่ 273 ล้านเหรียญฯ แต่โอกาสที่จะมีภาคต่อออกมาก็ดูริบหรี่อย่างน่าเสียดาย
A Wrinkle in Time
ครั้งแรกที่เห็นตัวอย่างก็อดขนลุก (ในแง่ลบ) ไปกับการแปลงโฉมบรรดานักแสดงอย่างโอปราห์ วินฟรีย์, รีส วินเธอร์สพูนและมินดี้ คาร์ลลิง (เพราะพวกเธอดูกลายเป็นผู้เข้าแข่งขันจากรายการ Drag Race มากกว่าเป็นผู้วิเศษอะไรเทือกนั้น) ให้กลายเป็น 3 ผู้นำทางศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนเหนือจินตนาการ ภารกิจตามหาคุณพ่อที่หายไปของเม็ค เมอร์รี (สตรอม เรียด) กลับชวนง่วงหงาวหาวนอนมากกว่าจะสนุกสนาน ยิ่งไปกว่านั้นใครจะไปเชื่อว่าหนังความยาวแค่ 1 ชั่วโมง 49 นาทีกลับดูยาวนานราวกับ 3 ชั่วโมง และแน่นอนว่าหนังเรื่องจัดเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องในปี 2018 (ของค่ายดิสนีย์) ที่ประสบความล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์
The Darkest Minds
หนังในกลุ่ม Young Adult ที่มักมีโครงสร้างของเรื่องคล้ายกันไปหมด โดยส่วนมากพูดถึงโลกอนาคตดิสโทเปีย ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่แร้นแค้น เด็กๆวัยรุ่นถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมามีลักษณะเหมือนกันไปหมด จนกระทั่งตัวเอกค้นพบว่าตนมีความสามารถพิเศษและสามารถกอบกู้อนาคตได้ แน่นอนว่าความซ้ำซากดังกล่าวได้ปรากฏอยู่ในหนัง The Darkest Minds อย่างครบถ้วน ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหนังจะขาดทุนย่อยยับ (ต้นทุนสร้าง 34 ล้านเหรียญฯ ทำเงินทั่วโลก 41 ล้านเหรียญฯ ซึ่งแม้ว่าจะดูทำรายได้มากกว่าต้นทุน แต่รายได้นี้ยังไม่ได้รวมการหักส่วนแบ่งกับโรงภาพยนตร์ รวมไปถึงค่าทำโฆษณาประชาสัมพันธ์)
The Nun
หนังเรื่องล่าสุดที่ขยายจักรวาล The Conjuring แม้ว่าตอนปล่อยตัวอย่างนั้นจะเรียกความสนใจของผู้ชมได้เป็นอย่างมาก ใครๆก็อยากรู้จักที่มาของ “ผีแม่ชี” มากขึ้น แต่กลายเป็นว่าใน The Nun นั้นผู้ชมเหมือนไปนั่งดูฉากผีหลอก ซ้ำไปซ้ำมา แถมตัวละครก็มีพฤติกรรมที่ทำทุกอย่างซึ่งเป็น “ข้อห้าม” ที่คนสติดีๆไม่ควรจะทำ ส่งผลให้ภาพรวมของ The Nun มีสภาพใกล้เคียงกับหนังตลกมากกว่าหนังสยองขวัญ และให้ความรู้สึกหลังดูจบว่า จริงๆเหตุผลเดียวของการสร้างหนังเรื่องนี้ก็คือผีแม่ชีมาเพื่อ “หลอกเอาเงินคนดู”
Johnny English Strikes Again
วัยรุ่นสมัยนี้คงแทบไม่มีใครรู้จักมิสเตอร์บีน (โรแวน แอทคินสัน) กันอีกแล้ว ในยุคก่อนเราต้องยอมรับว่า นักแสดงตลกหน้าตายคนนี้ คือเอนเตอร์เทนเนอร์คนสำคัญบนจอทีวี สำหรับ JOHNNY ENGLISH นั้นออกฉากภาคแรกในปี 2003 ก่อนจะมีภาคต่อในปี 2011 และล่าสุดคือภาคที่ 3 ในปี 2018 แม้ว่าทุกภาคจะโดนด่าเละเทะว่าเป็นตลกฝืด แต่ในยุคปี 2003 มุกสายลับที่พยายามล้อเลียนเจมส์ บอนด์นั้นยังดูสดใหม่ (แม้จะงี่เง่ามากก็ตาม) แต่เมื่อทุกอย่างล่วงเลยมาถึง 15 ปี แต่ทุกอย่างในหนังยังคงเชยแบบปี 2003 ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะบอกว่า Johnny English Strikes Again เป็นหนังที่สนุกหรือควรค่าแก่การเสียเวลาชม
The Nutcracker and the Four Realms
ดิสนีย์เจ็บแล้วไม่ค่อยจำ ว่าหนังแฟนตาซีบางเรื่องนั้นก็ไม่ได้จะขายได้เสมอไป หลังจากที่เจ็บหนักมาตอน Tomorrowland ส่วนปีก่อนโน้นก็เจ็บไปกับ Alice Through the Looking Glass มาแล้ว ล่าสุด The Nutcracker and the Four Realms กลายเป็นหนังที่น่าจะขาดทุนหนักมากอีกเรื่องของปีนี้ แม้ว่าหนังจะเต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษตระการตา งานออกแบบเสื้อผ้าอันน่าจดจำ และดนตรีประกอบอันแสนไพเราะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพรวมของหนังนั้นเหมาะสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 8 ขวบ ส่วนผู้ใหญ่นั้นคล้ายกับยานอนหลับชั้นดี
Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald
การถูกจัดอันดับว่า Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald คือหนังในแฟรนชายส์แฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ได้รับคำวิจารณ์แย่ที่สุด ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เมื่อพิจารณาว่าการเขียนบทภาพยนตร์ของ เจ.เค, โรว์ลิ่งนั้น เธอเขียนออกมาเป็น “นิยาย” มากกว่าจะเป็น “บทภาพยนตร์” เราจะพบว่าหลายฉากในหนังเรื่องนี้ไม่ได้จำเป็นในการเล่าเรื่องราวนัก หากแต่เป็นฉากขายจินตนาการของผู้เขียนซึ่งไม่ได้ขับเคลื่อนเรื่องราวใดๆ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วเนื้อหาจริงๆของหนังภาคนี้สาระสำคัญของเรื่องอยู่แค่ 20 นาทีสุดท้ายตอนที่กรินเดอวัลล์เฉลยแผนการทั้งหมดออกมานั่นแหละ
Robin Hood
การรีเมคครั้งที่ร้อย (ประชด) ของโรบิน ฮู้ด จอมโจรผู้ขโมยเงินคนรวยเพื่อเยียวยาคนจน พล็อตเรื่องแน่นอนว่ามันก็มีอยู่แค่นี้ สิ่งที่เหลือทั้งหมดจึงเป็นความพยายามฉีกกรอบของผู้สร้างในการดีไซน์หนังให้ออกมาร่วมสมัย ฉากยิงธนูอันแสนตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ เทคนิคพิเศษ อารมณ์ขัน แต่ภาพรวมแล้ว Robin Hood เวอร์ชั่นนี้ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำและเป็นความบันเทิงที่พอคุณก้าวออกมาจากโรงหนังแล้วก็แทบจะจำอะไรไม่ได้เลยอีกเช่นกันว่ามีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังจริงๆ และเป็นที่แน่นอนแล้วว่า Robin Hood เวอร์ชั่นนี้จะกลายเป็นหนังเจ๊งอีกเรื่องของปี 2018 ที่ใช้ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ แต่ตอนนี้ทำเงินทั่วโลกแค่เพียง 48 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น (ข้อมูล ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2018)