“Ten Years Thailand” : เข้าใจอดีต จดจำปัจจุบัน มองเห็นอนาคต?
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมกุลีกุจอออกจากบ้านรีบไปดูหนัง “Ten Years Thailand” มาครับ ที่ใช้คำว่า “กุลีกุจอ” ก็เพราะว่าลึกๆ แล้วผมมีลางสังหรณ์ว่าหากทำเป็นนิ่งนอนใจ มัวโอ้เอ้ ไม่ไปดูเสียตั้งแต่ตอนนี้ หนังเรื่องนี้อาจหลุดโปรแกรมไปแล้วก็ได้ ยิ่งมีดีกรีเป็นถึงหนังที่ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ นี่ตัวดีเลยครับ ยิ่งต้องรีบกว่าที่ควรรีบ
ก็แปลกดีนะครับ หนังที่มีรางวัลหรือได้รับการคัดเลือกให้ไปฉายตามเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ผู้ชมกลับต้องรีบไปดูก่อนที่จะปลิวหลุดลอยไปตามสายลม ผมพูดและให้ความเห็นเรื่องนี้ในวาระต่างๆ มาเยอะแล้วและก็คร้านที่จะบ่นแล้วครับ ก็เลยเอาเป็นว่าเมื่อแก้ที่ระบบไม่ได้ ก็แก้ที่ตัวเองก็แล้วกัน ถ้าอยากดูก็ต้องไว อ้อยอิ่งไม่ได้เด็ดขาด
“Ten Years Thailand” เป็นหนังสั้น 4 เรื่องมัดรวมกันมาในห่อเดียวกันครับ คอนเซ็ปต์หลักของหนังทั้งสี่เรื่องก็คือการตีความตามชื่อโปรเจกต์ว่า ในอนาคตภายภาคหน้าอีก 10 ปี นักทำหนังอันประกอบด้วย อาทิตย์ อัสสรัตน์, วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง, จุฬญาณนนท์ ศิริผล และ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล นั้นมองเห็นอะไร
มองฝ่าออกไปในอนาคต-นักทำหนังเห็นอะไร? นี่คือคำถามที่น่าสนใจมากนะครับว่าผู้กำกับแต่ละคนเขาจะเห็นอะไรหรือตีความออกมาในลักษณะไหน แต่สิ่งที่ผมว่าน่าสนใจกว่าคำถามปลายเปิดเรื่องอนาคตนั้นก็คือคำตอบที่เราได้เห็นจากหนังทั้ง 4 เรื่อง ได้แก่ “Sunset” (อาทิตย์), “Catopia” (วิศิษฏ์), “Planetarium” (จุฬญาณนนท์) และ “Song of the City” (อภิชาติพงศ์) นั่นต่างหากครับ
โดยส่วนตัว ผมคิดว่าแม้หนังทั้ง 4 เรื่องจะแตกต่างกันออกไปในรูปแบบและวิธีการนำเสนอ แต่ภาพรวมของการแสวงหาคำตอบตามโจทย์นั้นกลับมีเอกภาพชัดเจนมากครับ เอกภาพที่ว่านั้นก็คือความลางเลือน ไม่ชัดเจน และสลัวราง ราวกับว่าไม่มีใครใน 4 คนนี้ที่มองหาอนาคตเจอเลย หนังทั้ง 4 เรื่องจึงนำเสนอภาพของอนาคตประเทศไทยออกมาได้อย่างคลุมเครือชัดเจน ผมใช้คำว่า “คลุมเครือชัดเจน” นะครับ กรุณาอ่านช้าๆ เพื่อทำความเข้าใจ
ซึ่งไอ้ความไม่ชัดเจนอันเป็นเอกภาพของทั้ง 4 เรื่องใน “Ten Years Thailand” นี่เอง ที่ดูจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าในทัศนะของผู้กำกับแต่ละคน การมองเห็นภาพร่างของอนาคตร่วมกันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราทำความเข้าใจอดีตและจดจำปัจจุบันต่างหากครับ (ผมย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวเท่านั้นนะครับ)
ยกตัวอย่างเช่น ในหนัง “Sunset” ของ อาทิตย์, “Catopia” ของ วิศิษฏ์ และ “Planetarium” ของ จุฬญาณนนท์ นั้น หากพิจารณากันเฉพาะโครงเรื่องเพียงอย่างเดียว ก็พบว่าเรื่องราวในหนังทั้ง 3 เรื่องดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคใด สมัยใดก็ได้ ซึ่งก็แปลว่ามันเกิดขึ้นตอนนี้-เวลานี้ก็ได้ด้วยเช่นกัน การที่ผู้มีอำนาจเข้าตรวจสอบคนทำงานฟากศิลปะ (ใน “Sunset”) ก็ดี การที่คนส่วนใหญ่สร้างชุดความคิดแปะป้ายให้คนที่เห็นต่างคิดต่างกลายเป็นผู้ร้ายจนถูกล่าแม่มด (“Catopia”) ก็ดี หรือการนำคนที่เห็นต่างเข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนตัวตนสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ (“Planetarium”) ก็ดี เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในสังคมของเราเลยครับ แถมยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรอบหลายปีหลังมานี้ จนเราอาจชินชากับมันไปแล้วก็ได้
แม้ทั้งสามเรื่องจะแตกต่างกันไปในรูปแบบการนำเสนอ เรื่องหนึ่งถูกเล่าด้วยภาพโมโนโครม เรื่องหนึ่งเป็นแฟนตาซีปนไซ-ไฟ อีกเรื่องหนึ่งออกแนว futuristic แบบ cheap-weird และ kitsch แต่ค้นกันให้ลึกลงไปในแก่นแท้ ก็จะพบว่ามันคือการบันทึกบริบทที่เกิดขึ้นแล้วในสังคมครับ เป็นการจดจำปัจจุบัน จารึกไว้เป็นภาพเคลื่อนไหวและเรื่องเล่าที่ต่างกัน และถ้าเหตุการณ์แบบในหนังทั้งสามเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกครับ
โดยส่วนตัว ในสามเรื่องนี้ผมชอบ “Sunset” มากที่สุด ชอบในแง่ที่ว่าหนังนำเสนอว่าท้ายที่สุดแล้ว ในความขัดแย้งแตกต่างใดๆ ก็ล้วนมีผู้คนอยู่ในนั้น ผู้คนที่สวมเครื่องแบบแตกต่างกัน และในความแตกต่างใดๆ ของเครื่องแบบที่ผู้คนล้วนสวมใส่ ภายใต้อาภรณ์เหล่านั้นก็คือคนทั้งสิ้น คนที่ไม่แตกต่างกันในแง่ของการต้องการความรัก ความเข้าใจ ต้องการสื่อสารบางอย่างออกมาให้คนอื่นเข้าใจ และหวังว่าเขาจะเข้าใจเปิดใจรับฟัง
ขณะที่สามเรื่องดังกล่าวเป็นการบันทึกปัจจุบัน “Song of the City” ของ อภิชาติพงศ์ กลับเป็นการมองย้อนไปในอดีตและทำความเข้าใจเรื่องราวหนหลัง อันเป็นที่มาของสิ่งที่เกิดขึ้นและถมทับพัฒนาจนกลายมาเป็นโครงสร้างของอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อภิชาติพงศ์ พาเราไปดูเหตุการณ์เรียบง่ายธรรมดาของชีวิตผู้คนที่เกิดขึ้นรอบๆ อนุสาวรีย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ขอนแก่นบ้านเกิดของเขาเอง ซึ่งตัวหนังยังคงเอกลักษณ์ลายเซ็นของเขาไว้ทุกประการ ความน้อยแต่มากของ “Song of the City” นั้นแทบจะใส่ แฮชแท็ก “ไม่พูดเยอะ เลิกกอง” ลงในโปสเตอร์ของภาพยนตร์ได้เลย เพราะดูแล้วหนังเรื่องนี้เหมือนกับยืนดูซามูไรชักดาบออกจากฝักแล้วฟันคู่ต่อสู้ฉับเดียว เก็บดาบเดินกลับไม่หันมามองเลยครับ ใครที่เก็ตก็เก็ต ใครไม่เก็ตก็ไม่เป็นไร อะไรทำนองนั้น แต่สำหรับใครที่เก็ตก็จะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (และอาจส่งต่อไปยังอนาคต) ก็ล้วนมีที่มาทั้งนั้น
ผมไม่มีบทสรุปอะไรให้ “Ten Years Thailand” เพราะหนังเองก็ไม่มุ่งเน้นการสรุปอะไรเท่าไหร่ แค่อยากย้ำเน้นๆ ว่า หนังอยู่ไม่นานครับ รีบไปดูกันเถิด
เกี่ยวกับผู้เขียน
จักรพันธุ์ ขวัญมงคล
นักเขียน นักแปล นักวิจารณ์ภาพยนตร์ และบรรณาธิการอิสระ สนใจความเคลื่อนไหวในแวดวงศิลปะและสังคม
อัลบั้มภาพ 15 ภาพ