รีวิว The Soul-Mate ปั้นหม้อรอรักเวอร์ชั่นเกาหลี
แทจินนายตำรวจหนุ่มไฟแรง เขารับหน้าที่ดูแลเมืองเล็ก ๆ ริมทะเล ที่วัน ๆ มีแค่คดีหมาแมวหาย แต่แล้ววันหนึ่งแทจินก็บังเอิญพบเบาะแสขบวนการค้ามมุษย์ลักลอบนำหญิงสาวเข้ามาบังคับให้ขายบริการในคลับใหญ่ประจำเมืองซึ่งเป็นของเจ้าพ่อใหญ่ แทจินตามสืบจนได้หลักฐานสำคัญ เป็นเหตุให้แทจินต้องคำสั่งเก็บ แต่ด้วยวิญญาณที่ยังมีห่วงทั้งคดีที่ยังไม่ได้สะสาง และห่วงฮยอนจีคนรักที่เพิ่งตั้งท้องกับเขาและกำลังจะแต่งงานกัน ทำให้วิญญาณยังคงวนเวียน และสามารถสื่อสารกับจางซู โค้ช ยูโดร่างใหญ่แต่กลัวผีได้ วิญญาณแทจินจึงต้องขอร้องให้จางซู ช่วยสานต่อคดี เอาคนผิดมารับโทษและเพื่อความปลอดภัยของฮยอนจี ที่ครอบครองหลักฐานสำคัญไว้และกำลังจะเป็นเป้าหมายต่อไป
ถ้าพิจารณาจากโปสเตอร์ ตัวอย่างหนังและชื่อไทย “คนกับผี คู่แสบแบบว่าป่วง” ต้องเข้าใจว่านี่คือหนังตลก แต่เมื่อได้ดูหนังจริง กลับเป็นหนังที่มีมุกตลกน้อยมาก ในเรื่องได้เสียงหัวเราะแค่ไม่กี่ครั้ง จากมุกจำเป็นที่เล่นได้ทุกรอบกับหนังที่ว่าด้วยคนกับผี เมื่อตัวเอกของเรื่องมองเห็นผีเพียงคนเดียว แล้วคนอื่นก็มองว่าเป็นคนบ้า แต่เนื้อหาของหนังที่ปูมาด้วยโจทย์หนัก ๆ ที่ทั้ง 2 ตัวละครนำต่างแบกรับกันไว้ แทจิน ต้องตายไปในขณะที่ยังมีห่วงมากมาย ทั้งคดีที่ยังคั่งค้างและแฟนที่ตั้งท้องเพียงลำพัง ไม่มีเขาอยู่ดูแลและตกอยู่ในอันตราย ส่วนจองซู ก็เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสาวยังเล็กป่วยเป็นโรคหัวใจ เฝ้ารอคอยวันที่จะมีผู้ใจบุญมาบริจาคหัวใจ ซึ่งโจทย์ทั้งหมดนี้ก็ปูมาตลอดทางจนไปพีคในช่วงท้าย แล้วก็ยังขยี้ซ้ำตามสไตล์หนังเกาหลี ซึ่งก็นับว่าเป็นดราม่าที่ได้ผล หลายคนที่ตั้งใจจะไปหัวเราะ คงจะได้เสียน้ำตาแทนเสียงหัวเราะกันไป
ส่วนเนื้อหาที่เดินควบคู่กันไป คือคดีของแก๊งค้ามนุษย์ ซึ่งบทหนังก็พยายามใส่ลูกเล่นด้วยการใส่เซอร์ไพรส์กับการเผยตัวหัวหน้าใหญ่ของแก๊ง และพยายามพลิกสถานการณ์ไปมาระหว่างทางอยู่หลายครั้ง ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นมุกเดิม ๆ และคาดเดาได้ทั้งสิ้น ทำให้เส้นเรื่องในส่วนของคดีไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าที่ควร กลับกลายเป็นว่าส่วนที่น่าประทับใจสุดก็คือด้านดราม่าของหนังที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อน จะด้วยเหตุที่หนังปูเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้ง 2 คู่มาตั้งแต่ต้นเรื่อง คนดูได้เห็นความน่ารักของคู่รักแทจินและฮยุนจี กับคู่พ่อลูกจางซูและโดคยุง
ส่วนหนึ่งก็ต้องชืนชมความสามารถของนักแสดง ที่เด่นมากก็คือ มาดงซอก พระเอกร่างใหญ่ที่เริ่มเป็นที่รู้จักจากหนังฮิต Train to Busan พอมาถึงเรื่องนี้ก็เลยได้เลื่อนชั้นจากดาราสมทบมาเป็นดารานำ ด้วยความที่เป็นคนร่างใหญ่พอมาทำหน้าที่พ่อที่ต้องดูแลลูกสาวก็เลยเป็นภาพที่น่ารัก เวลาเห็นพ่อหวีผมให้ลูก พาลูกไปจ่ายตลาด ต่อปากต่อคำกัน หนังวางคาแรกเตอร์ของจางซูมาได้น่าสนใจ กับภาพลักษณ์ของชายใจแคบที่แม้จะตัวใหญ่แต่ก็ไม่เคยจะช่วยเหลือคนรอบข้าง ด้วยหลักการของเขาที่ว่าจะ”ไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น”
อีกจุดที่ชอบคือความละเอียดของบทภาพยนตร์ที่เก็บรายละเอียดเบี้ยบ้ายรายทางมาใช้ประโยชน์ตอนท้ายได้หลาย ๆ ครั้ง ซึ่งแต่ละจุดก็ไม่ได้ขับเน้นอย่างที่เคยผ่านตาจากหนังหลายเรื่อง ให้รู้สึกได้ว่าเดี๋ยวไอ้จุดเนี้ยจะต้องหยิบมาอ้างถึงอีกครั้งอย่างแน่นอน แต่สำหรับ The Soul-Mate กลับเล่าทุกอย่างแบบผ่าน ๆ ไป อย่างเช่นการเล่าว่าจางซูเป็นคนตัวใหญ่แต่ใจแคบ ไม่เคยช่วยเหลือผู้คนเดือดร้อนรอบข้าง ก็ทำให้คิดได้ว่านี่คือบุคลิกของจางซูที่กำหนดมาเพื่อขยายเป็นมุกของหนัง แต่หนังก็มาเฉลยเหตุที่จางซูเป็นอย่างนี้ในช่วงท้าย และเป็นเหตุผลที่น่าสะเทือนใจ
ส่วนลียูยัง ผู้มารับบทฮยอนจี แม่ค้าขายปลาที่เป็นคนรักของแทจิน เธอเป็นดาราที่ไม่ได้มาภาพลักษณ์นางฟ้าจิ้มลิ้มตามสไตล์เกิร์ลกรุ๊ปที่เราคุ้นเคยกัน แต่หลาย ๆ ครั้งก็มีมุมน่ารักให้เราเห็น และเล่นให้เราเชื่อได้ว่านี่คือแม่ค้าขายปลาจริง ๆ ไม่แต่งสวยไม่แต่งหน้า บทฮยอนจีเป็นบทที่หนักและน่าสงสารมาก ต้องเสียคนรักและแบกลูกในท้อง มีรอยยิ้มให้เห็นแค่ต้นเรื่องจากนั้นก็ร้องไห้ทั้งเรื่อง แล้วเป็นคนที่ร้องไห้ได้น่าสงสารมาก แล้วบทของเธอนี่แหละที่พาโทนหนังไปดราม่าได้อย่างหนักหน่วงแล้วพาให้คนดูร้องไห้ตามได้ง่าย ๆ
แม้ว่าหนังจะไม่ได้ไปทางคอมมีดี้ได้อย่างที่คาด แต่ถ้าตั้งใจว่าไปดูหนังรักประทับใจ ที่มีมุกพอให้ยิ้ม ๆ ได้สักเรื่อง The Soul-Mate ก็เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์นี้ได้ดี หนังลงเอยทุกอย่างได้อย่างสวยงาม แถมบทสรุปที่น่ารักเมื่อจางซูฝากข้อคิดมากับเรา เมื่อเขาค้นพบความสุขจากการได้ช่วยเหลือผู้คนรอบข้าง ก็ทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น