รีวิว Velvet Buzzsaw จิตรกรรมอาถรรพ์

รีวิว Velvet Buzzsaw จิตรกรรมอาถรรพ์

รีวิว Velvet Buzzsaw จิตรกรรมอาถรรพ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

 

แวบแรกที่เราเห็นชื่อผู้กำกับ แดน กิลรอย ซึ่งเคยมีผลงานการกำกับและเขียนบทหนังทริลเลอร์เรื่องแรกอย่าง Nightcrawler ในปี 2014 (แถมยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกต่างหาก) ส่วนในปี 2017 เขายังมีผลงานการกำกับ Roman J. Israel, Esq. ซึ่งทำให้นักแสดงนำอย่างเดนเซล วอชิงตัน ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ผลงานที่โดดเด่นของแดน กิลรอยจึงได้รับการจับตามาเรื่อยๆ จนกระทั่งผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดอย่าง Velvet Buzzsaw ที่ผลิตขึ้นเพื่อออกฉายทาง Netflix

 

Velvet Buzzsaw บอกเล่าเรื่องราวของมอฟ แวนเดอวัล(เจค จิลเลนฮาล) นักวิจารณ์งานศิลปะฝีปากกาจัดจ้าน ผลงานการเขียนรีวิวของมอฟทำให้งานศิลปะหลายชิ้นตามแกลเลอรี่ชื่อดังได้รับความสนใจ และแน่นอนมันนำมาซึ่งรายได้จากบรรดาเศรษฐีที่แวะมาจับจองผลงานศิลปะเหล่านี้ไปประดับประดาที่ผนังบ้านของตัวเอง ขณะเดียวกันเจ๊โรห์โดร่า เฮซ (เรเน่ รุสโซ่) เจ้าของแกลลอรี่ก็มีหัวการค้าที่แหลมคม มองเกมตลาดศิลปะในปัจจุบันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

 

 

กระทั่งวันหนึ่งโจเซฟีน่า(ซอว์ แอชตัน) สาวผิวสีที่ทำงานให้กับโรห์โดร่า พบศพของชายแก่ปริศนาที่ชีวิตอยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกับเธอ ทำให้เธอถือวิสาสะเข้าไปสำรวจห้องของชายแก่โดยพลการและค้นพบว่าเขาเป็นจิตรกรฝีมือดีที่มีผลงานภาพวาดมากมาย ซึ่งในแต่ละภาพก็ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เธอจึงฮุบเอาภาพวาดเหล่านี้ไปเป็นของตัวเองเพราะโจเซฟีน่าค้นพบว่า ตาลุงแก่คนนี้ไร้ญาติพี่น้อง และเธอก็หัวใสพอที่เอาภาพวาดเหล่านี้ไปเสนอขายให้กับโรห์โดร่าเพื่อสร้างรายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง

 

ทุกอย่างเหมือนจะไปได้สวย แต่กลายเป็นว่าไม่นานนักก็เริ่มเกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพวาดปริศนาของตาลุงแก่ ต่างก็ต้องมีอันเป็นไปด้วยอุบัติเหตุแสนประหลาดและน่าสยดสยองไปทีละราย  

 

 

น่าเสียดายมากๆที่ Velvet Buzzsaw มีองค์ประกอบของหนังสยองขวัญหรือระทึกขวัญที่ดี แต่ปัญหาประการเดียวของหนังเรื่องนี้คือบทภาพยนตร์ที่ย่ำวนอยู่กับที่ไม่ไปไหน ยิ่งเวลาที่หนังดำเนินไปก็เหมือนจะพยายามขายฉากการตายของตัวละครแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้คนดูเริ่มไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วหนังเรื่องนี้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งานศิลปะในตัวเอง (ในเชิงเสียดสีเย้ยหยัน) หรือจริงๆแล้วเป็นแค่หนังสยองขวัญกลวงโบ๋ที่ไม่แตกต่างอะไรจากละครฟ้ามีตาธรรมดาเพื่อให้ผู้ชมเปิดจอทิ้งไว้ให้ห้องไม่เงียบ (และแบบหลังก็ดูเข้าเค้าที่สุด)

 

อย่างไรก็ตามสาระประการเดียวที่ผู้ชมน่าจะตกผลึกได้ก็คือ งานศิลปะ การวิพากษ์วิจารณ์และธุรกิจนั้นเป็นสิ่งที่ดำเนินควบคู่กันไปอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยง เพราะต่างฝ่ายก็ต่าง “ช่วย” ทำให้เกิดคุณค่าในชิ้นงานและเกิดมูลค่าในเชิงธุรกิจด้วยนั่นเอง

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook