Captive State แผนปฏิวัติมนุษย์ต่างดาว

Captive State แผนปฏิวัติมนุษย์ต่างดาว

Captive State แผนปฏิวัติมนุษย์ต่างดาว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

 

โลกอนาคตในปี 2025 ประเทศอเมริกาปราศจากซึ่งเสรีภาพ เมื่อเมืองอย่างชิคาโก้ ถูกเอเลี่ยนยึดครองโลก ภาครัฐต้องควบคุมประชากรทุกฝีก้าว ไม่ต่างอะไรจากการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ Captive State จะเล่าเรื่องราวผ่านสายตาของสองพี่น้องเกเบรียลและเรฟ ซึ่งพลัดพรากจากกันภายหลังเกิดการยึดครอง แต่ทั้งสองก็ได้มีโอกาสกลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อคนพี่นำกองกำลังปฏิวัติวางแผนที่จะปิดเสาดักจับสัญญาณของเอเลี่ยนที่อยู่บนยอดตึกเซียร์ส ถ้าภารกิจนี้สำเร็จ มันหมายถึงจุดสิ้นสุดของการถูกต่างดาวยึดครอง นำมาสู่อิสรภาพของหมู่มวลมนุษย์

 

ขณะเดียวกันวิลเลียม มัลลิแกน นายตำรวจชิคาโก้มากประสบการณ์ เขาใช้เวลาหลายปีตามเบาะแสแก๊งใต้ดินที่อาจจะสั่นคลอนอำนาจการปกครองของเอเลี่ยน แม้ว่าจะยึดมั่นในกฎหมายซักแค่ไหน แต่เขายังคงซื่อสัตย์ต่ออดีตคู่หูที่เสียชีวิตจากการรุกราน ซึ่งทิ้งลูกชายที่ทุกวันนี้เข้าออกคุกอยู่เป็นประจำ เช่นเดียวกันกับโสเภณีอย่างเจน โดว์ (เวร่า เฟมิก้า)อดีตคนรักของมัลลิแกน ที่ตอนนี้แฝงตัวในคราบโสเภณี เธออาจจะเป็นผู้กุมอนาคตของมนุษยชาติไว้

 

 

รูเพิร์ต ไวแอตต์ ผู้กำกับมากมุมมอง

หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อผู้กำกับนัก แต่ถ้าหากเราพูดชื่อหนังที่เขาเคยกำกับมาอย่าง Rise of the Planet of the Apes อาจจะร้องอ๋อขึ้นมาทันที โดยปกติแล้วหนังเอเลี่ยนบุกโลก มักจะมาเยือนในฐานะของ “ผู้รุกราน” จนนำมาซึ่งความหายนะของมวลมนุษย์ ทว่าใน Captive State จะเน้นเล่าเรื่องของเมืองที่ถูกครองด้วยเอเลี่ยนมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นหนังไซไฟที่จะมีความร่วมสมัยคือเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังจะต้องสะท้อนสภาพสังคมปัจจุบัน เช่นเดียวกับนิยายของ ฟิลลิป เค ดิค ซึ่งถือเป็นนักเขียนนิยายแนววิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องตลอดกาล เนื่องจากเนื้อหาในงานของเขาจะสอดคล้องกับสภาพสังคมในยุคสมัยนั้นๆ

 

โลกที่ปรากฏอยู่เป็นฉากหลังในหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่โลกอนาคตล้ำนวัตกรรมแบบในหนังท่องอวกาศแบบ Star Wars หรือ Star Trek และหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่โลกดิสโทเปียแบบ The Hunger Game หรือ The Maze Runner อีกเช่นกัน แต่มันคือโลกคู่ขนานเฉกเช่นกับโลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ถ้าอธิบายแบบเข้าใจง่ายที่สุดก็คือ มันคล้ายกับโลกที่ปกครองโดยระบอบเผด็จการนาซี หรือเผด็จการแบบโซเวียต แต่การปกครองครั้งนี้รุนแรงกว่าตรงที่ว่าประชาชนถูกควบคุมสิทธิขั้นพื้นฐานทุกประการ

 

 

เนื่องจากโลกอนาคตในหนังไม่ได้ห่างไกลจากช่วงเวลาของความเป็นจริงมาก (ปี 2025) เหตุการณ์การรุกรานของเอเลี่ยนได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2016 ซึ่งเมืองที่โดนโจมตีเป็นเมืองแรก คือเมืองชิคาโก้ เหล่าเอเลี่ยนได้ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทไม่สามารถใช้งานได้ ตั้งแต่โทรศัพท์ไปจนถึงรถยนต์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึง 9 ปี ตึกเซียร์สที่เคยเป็นตึกสูงสุดในอเมริกากลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามเต็มไปด้วยกองกำลังป้องกัน มันเหมือนกลายเป็นป้อมปราการกลางเมือง ให้เหล่าเอเลี่ยนกบดานอยู่ใต้ดิน ตัวส่งสัญญาณบนเสาอากาศบนยอดตึกเซียร์ส ทำงานตลอด 24 ทุกวัน มันมีไว้เพื่อสอดส่องมนุษย์ทุกคน (ทุกคนมีชิพพิเศษฝังอยู่ในคอ) และมีไว้เพื่อหยุดยั้งการทำงานของเทคโนโลยีทีมนุษย์คิดค้นขึ้น ทำให้ชาวเมืองใช้ชีวิตไม่ต่างกับยุคมืด ไร้การติดต่อกับโลกภายนอก

 

 

มือเขียนบทกับมุมมองการต่อต้านอำนาจ

 

ตัวผู้กำกับรูเพิร์ต ไวแอตต์ ได้แรงบันดาลใจในการเขียนบทหนังเรื่องนี้ร่วมกับภรรยาของตัวเองอย่างบีนีย์ และสองนักทำหนังชาวยุโรปอย่าง ฌอง ปิแอร์ เมลวิลล์ ชาวฝรั่งเศส ( Le Samurai 1967,  Army of Shadows 1989) และ จิลโล่ พอนเตคอร์โว ชาวอิตาเลียน (Battle of Algiers ที่เข้าชิงออสการ์ปี 67) โดยตัวเมลวิลล์เคยเป็นแนวร่วมต่อต้านของฝรั่งเศสระหว่างสงครามโลก ดังนั้นตลอดอาชีพเขามักจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับการต่อต้านอำนาจ  Army of Shadows เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขา

 

ไอเดียหลักของเรื่องจึงเริ่มต้นมาจากการที่ประเทศอเมริกาไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นมาก่อน แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้มายึดครองนั้นมาจากดาวดวงอื่้น แถมมีอำนาจเกินว่าที่มนุษย์คนไหนจะต่อกรได้

 

 

ทำไมเหตุการณ์ต้องเกิดในชิคาโก้

 

สาเหตุที่ทำให้ผู้กำกับชาวอังกฤษเลือกเมืองชิคาโก้เป็นฉากหลังให้หนังเรื่องนี้เพราะเขาเคยทำทีวีซีรีส์ที่เมืองนี้มาอีก อีกอย่างคือการที่มีทีมงานและนักแสดงท้องถิ่นมากคุณภาพให้เลือกใช้ สุดท้ายคือการที่ชิคาโก้เป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของอเมริกา มีทั้งย่านธุรกิจตึกระฟ้าและย่านชุมชนที่เข้มแข็ง ทีมงานถ่ายทำทั้งในย่านดาวน์ทาวน์ ที่ตึกชิคาโก้ทริบูน ริมแม่น้ำชิคาโก้และชายฝั่งทะเลสาบมิชิแกน ถ่ายในสนามกีฬาอเมริกันฟุตบอล แต่ชุมชนคนใช้แรงงานที่ชื่อว่าพิลเซน

 

โดยในบทภาพยนตร์ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าเรื่องราวจะต้องเกิดขึ้นกับชุมชนพิลเซนแห่งนี้เท่านั้น พิลเซนเป็นชุมชนเม็กซิกันอยู่ใกล้กลับดาวน์ทาวน์ คุณสามารถเห็นตึกเซียร์สได้จากชุมชนนี้ พิลเซนมีประวัติความเป็นมายาวนาน เสื่อมโทรมบ้างไปตามเวลา มันมีตรอกซอกซอยเต็มไปหมด บ้านทุกบ้านสามารถเข้าได้จากข้างหน้าและข้างหลัง ซึ่งเหมาะกับการเป็นพื้นหลังให้กับ Captive State ที่มนุษย์ทุกคนในเมืองถูกจับตาทีมงานเลือกใช้ไซโลขนาดสูงเท่าตึกสิบห้าชั้นที่อยู่นอกเมืองไปทางตอนใต้ของชิคาโก้ เป็นฉากจุดสังเกตการณ์ที่กลุ่มต่อต้านใช้วางแผนระเบิดตึกเซียร์ส ไซโลแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่ปี 1977 หลังเกิดการระเบิด จนได้กลายมาเป็นฉากในหนังฮอลลีวู้ดหลายๆ เรื่อง

 

ชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ที่นี่

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook