รีวิว กระสือสยาม ความพยายามร่วมสมัยที่ผิดที่ผิดทาง
อันที่จริงแล้วเราออกจะชอบคอนเซ็ปของ “กระสือสยาม” อยู่ไม่น้อยว่าถ้าหากกระสือมีชีวิตและอยู่ร่วมกับมนุษย์ในยุคปัจจุบัน พวกมันจะมีสภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตอย่างไร แต่น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้กลับไม่สามารถถ่ายทอดความน่าเชื่อใดๆ ให้เราสามารถมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครในเรื่อง ตรรกะที่หนังพยายามบอกถึงการมีอยู่ของกระสือ หรือกระทั่งการต่อสู้ระหว่างกระสือและนักล่า
หนังเปิดเรื่องราวมาที่ช่วงเวลาราว 15-20 ปีก่อน หนังเล่าถึงเรื่องราวรุ่นแม่ของวีณาและโมรา กิ่งผู้เคยเป็นแม่หมอที่พยายามดูแลน้องสาวอย่างสร้อยไม่ให้กลายร่างไปเป็นกระสือ แต่เมื่อน้องพบรักกับสิงห์ (ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ) การกลายร่างเป็นกระสือจึงสมบูรณ์ ระหว่างนั้นเองราตรี (รฐา โพธิ์งาม) ก็ต้องการน้องสาวของแม่วีณามาร่วมเป็นพวก แม่ของวีณาและโมราร่วมกันต่อสู้จนสิ้นลม สองทารกอย่างวีณาและโมรา ถูกสิงห์นำพาไปเลี้ยงดูในเมืองใหญ่ ระหว่างที่เติบโตวีณาก็ได้รับการสอนวิชาอาคมจากลุงสิงห์ เพื่อวันหนึ่งเธอจะได้ใช้สิ่งนี้ปกป้องโมราจากการตามล่าของราตรี
อันที่จริงหนังมีวิธีการวางพล็อตเรื่องแบบการ์ตูนญี่ปุ่น ที่ตัวเอกของเรื่องจะมีความสามารถพิเศษในการต่อสู้ด้วยการใช้วิชาอาคม เพื่อปกป้องคนที่เธอรักให้ปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย ความสัมพันธ์เชิงพี่สาวน้องสาวที่ดูเป็นความผูกพันแบบผู้หญิงๆ แต่เมื่อหนังเริ่มดำเนินเรื่องไปสักระยะทุกอย่างก็เต็มไปด้วยความสะเปะสะปะ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดช่วงเวลาที่วีณาต้องอาศัยอยู่กับลุงในอพาร์ทเมนต์เก่าซอมซ่อ และมีสภาพเหมือนรังโจรมากกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ที่เฮี้ยนไปกว่านั้นคือชั้น 3 ของตึกมีหญิงสาวที่ตายและกลายเป็นผีเฮี้ยนสิงอยู่!
หนังดูเหมือนจะมีรายละเอียดปลีกย่อยเต็มไปหมด แต่เหมือนหนังดำเนินเรื่องไปสักระยะ เหตุการณ์หลายๆอย่างก็ไม่มีความคืบหน้า ตัวร้ายอย่างราตรีก็เหมือนจะหายจากจอหนังไปนานพอสมควร จนกระทั่งช่วงกลางเรื่องเราถึงจะได้ทราบว่าเหตุผลที่แท้จริงของตามล่าโมรานั้นคืออะไร เราก็แทบจะหลุดขำออกมา เพราะมันช่างดูเป็นเหตุผลความแค้นที่ดูไม่ค่อยมีน้ำหนักเอาซะเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ
อีกทั้งกว่าที่เราจะได้เห็นการปะทะกันของกระสือในกระสือสยาม เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบชั่วโมง แถมงานซีจี เทคนิคพิเศษในหนังเรื่องนี้ก็เหมือนงานกราฟฟิกในหนังทุนต่ำราว 10 ปีที่แล้ว จนเราอาจจะกล่าวได้ว่า หนังอีกเรื่องอย่าง “แสงกระสือ” ทำงานกราฟฟิกออกมาได้ดีกว่า ละเมียดกว่า สวยกว่า ดีกว่าในทุกทาง
ความสะเปะสะปะของบทภาพยนตร์ ยังไม่รวมไปถึงบทสนทนาที่ดูผิดที่ผิดทางผิดธรรมชาติของนักแสดง ยิ่งทำให้หนังมีสภาพ “น่ารำคาญ มากกว่าจะดูสนุก ตลอดทั้งเรื่องเราก็ได้แต่ทำหน้างง เกาหัวและสงสัยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง ความเกี่ยวโยงเชื่อมต่อของเหตุการณ์ ไปจนถึงฉากจบของเรื่องที่ดูพยายามจะให้อารมณ์อ่อนไหว ดราม่า แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเป็นอีกอย่างไปซะได้