The Curse of Weeping Woman ตำนานผีแม่ผู้ร่ำไห้ สัญชาติลาติน
The Curse of Weeping Woman หรือ The Curse of La LLorona เป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องที่รับการประกาศจากทางค่ายวอร์เนอร์แล้วว่าจะถูกผนวกรวมอยู่ในจักรวาลผีของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่างเจมส์ วาน โดยหนังเรื่องนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นการหยิบเอาตำนาน “ผีสัญชาติลาตินอเมริกา” มาถ่ายทอดเป็นหนัง รวมถึงนี่เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวครั้งแรกของไมเคิล ชาเวส ผู้กำกับหนังสั้นที่ได้รับรางวัลเรื่อง “The Maiden” หนังสยองขวัญที่ว่าด้วยบ้านร้างซึ่งมีเจ้าหน้าที่เข้ามาบันทึกภาพเพื่อนำไปใช้โปรโมตบ้านหลังนี้ แต่ระหว่างที่เธอสำรวจบ้าน เธอกลับค้นพบว่ามีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นหลังจากที่เธอไปหยิบจี้ห้อยคอในตู้เสื้อผ้ามาเป็นของตัวเอง ลองดูความพิศวงและน่ากลัวได้ที่ The Maiden
จากนิทานชวนฝันร้าย
ตามตำนานแล้ว ลาโยโรนา เป็นทั้งคุณแม่ ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร และท้ายที่สุดเธอคือหญิงสาวผู้เศร้าโศกที่เดินร้องไห้ไปตามริมธาร รอเวลายามตะวันลับฟ้าเพื่อที่จะร้องร่ำไห้โหยหวน เรื่องราวตามนิทาน (และตำนาน) พูดถึงมาเรีย หญิงสาวลูกติดที่เกิดหลงรักชายหนุ่มอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทว่าหนุ่มหล่อที่เธอปลื้มดันเกลียดขี้หน้าลูกๆของเธอ ด้วยความไม่ทันยั้งคิดทำให้มาเรีย ตัดสินใจฆ่าลูกของเธอเอง ด้วยการจับกดน้ำและทิ้งศพของลูกทั้งสองคนลงแม่น้ำ เมื่อลูกทั้งสองได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธความรักของมาเรียอย่างไร้เยื่อใย แถมยังไปพบรักครั้งใหม่กับหญิงสาวอีกคน
มาเรียสูญเสียทั้งลูก เสียทั้งคนที่เธอหลงรัก เหตุการณ์นี้ทำให้เธอกลายเป็นบ้า เดินร้องไห้คนเดียวตามริมแม่น้ำที่เธอจับลูกกดน้ำ ด้วยความตรอมใจมาเรียจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ความตายของเธอไม่ใช่จุดจบเมื่อวิญญาณของเธอไม่สู่สุขคติเฉกเช่นวิญญาณตนอื่นๆ เนื่องจากบาปที่เธอกระทำลงไปส่งผลให้เธอกลายเป็นผีที่ต้องวนเวียนอยู่ที่ริมแม่น้ำในเม็กซิกัน และว่ากันว่าถ้าเธอเจอเด็กเร่ร่อนหรือเด็กที่ดื้อกับพ่อแม่ตัวเอง เธอจะลักพาตัวเด็กเหล่านั้นและจับถ่วงน้ำให้ตายเพื่อเอาวิญญาณมาอยู่ด้วย!
ย้อนเวลาไปสู่ปี 1973
ลอส แอนเจอลิสในปี 1973 แอนนา เทต-การ์เซีย (ลินดา คาร์เดลลินี) นักสังคมสงเคราะห์และคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องรับผิดชอบทั้ง 2 หน้าที่นั้นในเวลาเดียวกัน แม้จะกำลังเสียใจกับการจากไปของสามีแบบไม่ทันตั้งตัว การทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับความเชื่อในเรื่องผีสางและไสยศาสตร์ กระทั่งวันหนึ่งเธอถูกเรียกตัวไปยังบ้านของแพทริเซีย อัลวาเรซ (แพทริเซีย วีลาสเควซ) และพบว่าลูกชายทั้ง 2 คนถูกขังอยู่ในตู้เสื้อผ้า เธอจึงคิดว่าพวกเขาถูกแม่ทำร้ายและขังเอาไว้
แอนนาตัดสินใจช่วยเหลือแพทริเซีย และให้ความสนใจกับเด็กๆทั้งสองโดยที่เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่า การช่วยเหลือครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นในการปลดปล่อยความชั่วร้ายออกมา เมื่อแอนนาพยายามใช้หลักจิตวิทยาเพื่อเยียวยาแม่ของพวกเขาและนำตัวเด็กๆมาอยู่ภายใต้ความคุ้มครอง
หลังจากที่แอนนาช่วยเหลือลูกๆของแพทริเซีย เหตุการณ์ประหลาดเริ่มเกิดขึ้นกับตัวเธอ เมื่อมีเสียงร้องไห้ลึกลับดังขึ้น แอนนาเริ่มสัมผัสได้ว่าคำเตือนของแพทริเซียเกี่ยวกับตำนานของลาโยโรนา เริ่มมีเค้าความจริงและลูกๆของเธอกำลังจะตกเป็นเหยื่อ แอนนาจึงไม่มีทางเลือกอื่นๆนอกจากการขอความช่วยเหลือจากราฟาเอล โอลวีร่า (เรย์มอนด์ ครูซ) อดีตบาทหลวงที่ผันตัวมาเป็นหมอผี เพื่อปกป้องครอบครัวของตัวเอง และป้องกันการโจมตีของลาโยโรนาในการแผลงฤทธิ์ความชั่วร้ายออกมาในยามค่ำคืน
จับตานักแสดงผู้รับบทลาโยโรนา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเฟ้นหานักแสดงที่มีความสามารถผู้ก้าวเข้ามารับบทนี้ ในระหว่างที่เปิดออดิชั่นมาริโซล รามิเรซได้เข้ามาอ่านบทของแพทริเซีย แต่การแสดงที่แฝงไปด้วยความหดหู่และดูดุร้ายในตัวเองทำให้ผู้กำกับรู้สึกว่าบทที่น่าจะเหมาะกับตัวเธอนั้นคือบทของลาโยโรนา และสุดท้ายเธอก็คว้าบทผีสาวตนนี้ไปในที่สุด
ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกันเพราะตัวละครนี้ต้องมีการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษถึง 3 ชั่วโมง แถมยังต้องทำผมถึงวันละ 2 ครั้ง อย่างไรก็ตามตัวรามิเรซได้กล่าวถึงบทของเธอว่า “ฉันอยากรับบทตัวละครที่น่ากลัวในหนังสยองขวัญมาตลอดเลยค่ะ” เธอกล่าว “การถูกชวนให้มารับบทตัวละครที่มีชื่อเสียงของตำนานที่เราโตมาด้วยกัน ถือเป็นความฝันอันสูงสุดเลยค่ะ”
ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ตัวละครลาโยโรนาได้รับการจดจำนั้นคือชุดของเธอเอง ผีสาวตนนี้สวมชุดสีขาวคล้ายกับชุดแต่งงาน ซึ่งทีมงานได้แรงบันดาลใจในการทำชุดจากศิลปะ วัฒนธรรมของชาวลาติน ชุดของเธอจึงคล้ายกับชุดเจ้าสาวของแฟรงค์เกนสไตน์ และเพื่อความสมจริงตามตำนาน ทีมงานจึงดีไซน์โคลนจากแม่น้ำที่มีอายุนับร้อยปีที่เกาะอยู่ตามชุดของเธอด้วยประหนึ่งว่าเธอได้ผ่านการเดินร่ำไห้ตามแม่น้ำมานานนับร้อยปี