ทำไม The Face SS5 ถึงสนุกเกินความคาดหมาย
แม้ว่ากระแสของรายการเรียลลิตี้เฟ้นหานายแบบนางแบบหน้าใหม่อย่าง The Face Thailand ความนิยมจะแผ่วลงอย่างมากตั้งแต่ซีซั่น All Stars และ The Face Men Thailand Season 2 ที่ผ่านมา ถึงอย่างนั้นล่าสุด อย่างซีซั่นที่ 5 ก็ยังแอบน่าสนใจไม่แพ้ซีซั่นก่อนๆ เวลานี้รายการออนแอร์มาถึง EP ที่ 8 แล้ว เราจึงได้เห็นความน่าสนใจอันแสนหลากหลายที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้
การยกเครื่องเมนทอร์ใหม่
แม้ว่าการประกาศรายชื่อเมนทอร์ที่มาทำหน้าที่ในรายการประจำซีซั่นนี้อาจจะสร้างอาการ “เหวอ” ให้กับคนดูมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ก็ตาม โดยเฉพาะการจับคู่เมนทอร์จีน่าและแบงค์เข้าไว้ด้วยกัน แน่นอนว่าสองคนนี้โดนตั้งป้อมด่าจากผู้ชมหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว ว่าทำไมถึงไม่เลือกเมนทอร์ที่น่าจะมี “ชั่วโมงบิน” ในการทำงานมาเป็นคนสอนผู้เข้าแข่งขัน
หลังจากที่มีการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเข้าทีมกันไปเป็นที่เรียบร้อย ในซีซั่นนี้ก็เต็มไปด้วยกติกามากมายที่ถูกเพิ่มเข้ามา โดยเฉพาะการเพิ่ม “มาสเตอร์เมนทอร์” เข้ามาประกบเมนทอร์ในแต่ละทีม ซึ่งโชคดีของทีมจีน่าแบงค์ที่ได้พี่อาร์ต อารยาเข้ามาดูแลทั้งสองเมนทอร์
ช่วงแรกๆในการทำงานของเมนทอร์จีน่าแบงค์ อาจจะประสบปัญหาค่อนข้างเยอะและหลังจากที่เราได้เห็นความพ่ายแพ้ของทั้งสองนั้นไม่ได้บั่นทอนจิตใจของพวกเขา กลับกลายเป็นการจุดประกายและเลือกจะย้อนไปปรับปรุงแก้ไขการทำงานของตัวเองให้ดีขึ้น โดยตลอดหลาย EP ตั้งแต่แคมเปญแรกจวบจนถึงปัจจุบัน เมนทอร์จีน่าและเมนทอร์แบงค์ก็เริ่มพิสูจน์ให้คนดูได้เห็นแล้วว่า บางครั้งการที่เรามีชั่วโมงบินที่น้อยกว่าคนอื่นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน ส่งผลให้ทั้งสอง (บวกหนึ่งมาสเตอร์เมนทอร์) คว้าชัยชนะในแคมเปญหลายหน
กติกาสวิง เปลี่ยนแปลงได้ในทุกอาทิตย์
อันที่จริงแล้วการเปิด EP1 ของ The Face Season 5 น่าจะเป็น EP ที่จัดได้ว่า “แหกตา” คนดูที่สุดเป็นประวัติการณ์ของรายการนี้ เนื่องจากการคัดเลือกเด็กเข้าทีมไม่ได้จบลงใน EP แรก แถมก่อนจบเบรกในแต่ละช่วงรายการกลับใช้สิ่งที่อยู่ใน EP2 (ช่วงการยกโมเดลลิ่งบุ๊ค) ตัดต่อเอามาหลอกคนดูว่าจะได้ดูในช่วงถัดไป ทั้งที่ความเป็นจริงคือจะได้ดูในอาทิตย์หน้า และแน่นอนว่าในสัปดาห์นั้นรายการก็โดนคนดูด่ายับเยิน
ในบางสัปดาห์การที่ผู้เข้าแข่งขันชนะในช่วงมาสเตอร์คลาสจะได้รับภูมิคุ้มกันในการไม่ต้องถูกส่งเข้าห้องดำ ส่วนผู้แพ้จะต้องถูกส่งเข้าห้องดำไม่ว่าทีมจะชนะหรือแพ้ก็ตาม บาง EP ผู้เข้าแข่งขันอาจจะถูกส่งเข้าห้องดำมากกว่า 1 คน และเมนทอร์ที่ชนะสามารถคัดคนออกมาได้มากกว่า 1 คน เป็นต้น
เกิดกติกาการคัดเลือกเด็กที่ตกรอบไปแล้วเพื่อส่งกลับไปในทีมของตัวเองหรือทีมคนอื่นก็ได้ โดยทีมที่ชนะจะมีสิทธิตัดสินใจดังกล่าว ก็เป็นอีกกติกาใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในซีซั่นนี้อีกเช่นกัน
การที่กติกาเกิดการสวิงเปลี่ยนแปลงไปๆมาๆของรายการคือสิ่งที่ทำให้มาสเตอร์อาร์ตเคยพูดไว้ว่า “นี่คือรายการเดอะดวง” ซึ่งสิ่งที่ออกมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในรายการนี้ ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากเรามองว่ามันคือสิ่งที่ “ท้าทาย” ความสามารถของเมนทอร์และผู้เข้าแข่งขันให้มีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ฝันร้ายของผู้เข้าแข่งขัน
กว่ารายการจะจุดไฟความบันเทิงให้ติดขึ้นมาได้ก็ปาเข้าไปที่ EP3 คือแคมเปญแฟชั่นโชว์ ซึ่งช่วงเวลาที่ต้องคัดเด็กเข้าห้องอิลิมิเนชั่น (ห้องดำ) เมนทอร์ต้องเลือกผู้เข้าแข่งขัน 1 คน และมาสเตอร์เมนทอร์ต้องเลือกผู้เข้าแข่งขัน 1 คนเข้าห้องดำ เท่ากับสัปดาห์แรกจะต้องมีเด็กใน 1 ทีม เข้าห้องดำถึง 2 คน นับรวมสองทีมเท่ากับ 4 คน
ความพีคใน EP นี้อยู่ตรงที่ว่าทีมที่ชนะเลือกที่จะคัดเด็กทุกคนที่ถูกส่งเข้ามาในห้องดำออกทั้งหมด แน่นอนว่าบรรดาเด็กๆได้ขอโอกาสจากเมนทอร์ทีมที่ชนะ แต่นั่นก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจเมนทอร์ แต่พวกเขาก็ยืนยันว่านี่คือเกมและซีซั่นนี้พวกเขามาเพื่อชนะ การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาเมนทอร์ทีมอื่นๆเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าตั้งแต่ EP นี้ไฟลุก!
การเล่นเกมกันอย่างดุเดือดของเมนทอร์ทั้ง 3 ทีมที่เลือกจะตัดผู้เข้าแข่งขันสักคนออกจากรายการ ถือเป็นการคิดอย่างรอบคอบ และเลือกจะคัดเอาบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่เก่งกว่าอีกคนออกอยู่เป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นในซีซั่นนี้ ก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่าผู้เข้าแข่งขันแทบทุกคนมีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่น น่าจดจำ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และถึงแม้ว่าใครสักคนจะทำแคมเปญที่แย่กว่าคนอื่นๆในทีม แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำผิดพลาดหรือเลวร้ายนัก เมื่อเปรียบเทียบกับหลายซีซั่นที่ผ่าน
ถ้ามองตามความบันเทิงตามประสาคนเชียร์มวยอยู่ตามบ้านอาจจะรู้สึกสนุก ตื่นเต้นมาก แต่ถ้ามองในแง่ของผู้เข้าแข่งขันแล้ว ซีซั่นนี้น่าจะเป็นซีซั่นที่ตัวผู้เข้าแข่งขันอาจจะแทบไม่สามารถเตรียมตัวเตรียมใจได้เลยด้วยซ้ำไปว่า เราจะถูกคัดออกจากการแข่งขันเมื่อไหร่ เพราะวันใดก็ตามที่เรามากองถ่ายแล้วเกิดความ “ไม่พร้อม” นั่นอาจจะเปิดช่องให้รายการนี้คิดกติกาวัดดวง เข้ามาอีกเรื่อยๆก็ได้
The Face Thailand Season 5 จึงเป็นรายการเรียลลิตี้ที่ไม่ใช่แค่การแข่งขัน หาคนมีความสามารถ แต่เป็นรายการโทรทัศน์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิง ขายซีนดราม่าและน้ำตาของผู้เข้าแข่งขัน อย่างแท้จริง