รีวิว X-men: Dark Phoenix ไม่มีใครหนีอดีตพ้น

รีวิว X-men: Dark Phoenix ไม่มีใครหนีอดีตพ้น

รีวิว X-men: Dark Phoenix ไม่มีใครหนีอดีตพ้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

 

ท่ามกลางรีวิวในแง่ลบอันแสนรุนแรง ของ X-men: Dark Phoenix จากฝั่งอเมริกาที่ ว่านี่คือหนังภาคที่แย่ที่สุดในแฟรนชายส์มนุษย์กลายพันธุ์ ตัวผู้เขียนกลับมองว่า เนื้องานจริงๆในหนังภาคนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่โดนครหา มิหนำซ้ำความ “เล็กลง” ในแง่ของงานสร้างช่วยสะท้อนให้เราเห็นว่า มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำหนังมนุษย์กลายพันธุ์ให้อึกทึกคึกโครมหนวกหูอยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งการพาผู้ชมไปสำรวจสภาพจิตใจของตัวละครบ้างก็เป็นเรื่องจัดว่าน่าสนใจเช่นกัน

 

X-men: Dark Phoenix เปิดเรื่องราวด้วยการพาผู้ชมไปทำความรู้จักจีน เกรย์ ในวัยเด็ก ระหว่างที่เธอกำลังนั่งรถอยู่กับพ่อแม่ ด้วยความรำคาญเสียงเพลงในวิทยุเธอจึงพยายามเปลี่ยนคลื่นความถี่ ระหว่างนั้นเองเธอก็เริ่มทะเลาะกับพ่อแม่ ส่งผลให้จีนไม่สามารถควบคุมพลังจิตได้และทำให้แม่ของตัวเองหมดสติจนส่งผลให้รถของครอบครัวพุ่งชนกับรถอีกคันจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่เธอไม่อาจลืม

 

 

จีน เกรย์ได้รับการช่วยเหลือจากชาร์ล ซาเวียร์ (เจมส์ แม็คอะวอย) ให้เข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของเขาและปลุกปั้นให้เธอกลายเป็นมิวแตนท์ที่ใช้พลังพิเศษในตัวเองเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับคนทั่วไป จนกระทั่งวันหนึ่งภารกิจช่วยเหลือนักบินอวกาศที่สูญเสียการควบคุมยานนอกโลก ความผิดพลาดส่งผลให้จีน (โซฟี เทอร์เนอร์)ถูกคลื่นพลังงานพายุสุริยะถาโถมเข้าใส่ตัวเธอ

 

เมื่อกลับมายังโลกจีนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เมื่อชาร์ลพยายามจะเข้าไปในจิตใจของจีน เพื่อสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้น เขากลับค้นพบว่าพลังงานที่จีนซึมซับเข้ามาในตัวเองนั้นได้ปลดล็อคความจริงบางอย่าง ที่ชาร์ลพยายามปกป้องเธอมาตลอดชีวิต แต่นั่นกลับทำให้จีนเข้าใจผิดว่าชาร์ลโกหกเธอมาโดยตลอดและทำให้เธอเดินทางหนีออกจากโรงเรียนไป

 

 

เพราะความจริงบางเรื่อง อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์หรือน่าจดจำเสมอไป แต่การถูกปกปิดความจริงเอาไว้ไม่เคยส่งผลดีกับใคร เมื่อวันใดวันหนึ่งความจริงปรากฏขึ้นมา คนที่อยู่ภายใต้เหตุการณ์เหล่านั้นย่อมต้องยอมรับความจริงอยู่วันยังค่ำ สิ่งที่เกิดขึ้นกับจีนและเปลี่ยนแปลงเธอให้กลายเป็น “ฟีนิกซ์” นั้นเราอาจจะกล่าวได้ว่ามันเริ่มต้นมาจากครอบครัว การไม่ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น ผลักไสไล่ส่งและกล่าวโทษว่าเหตุการณ์ในอดีตเป็นผลมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กคนหนึ่ง

 

ที่น่าสนใจกว่าคือเมื่อจีนไม่รู้จะหาที่พึ่งพาจากใครอีกแล้ว เธอเลือกที่จะมุ่งหน้าไปหา แม็กนีโต (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) เพื่อขอคำปรึกษาว่า “ทำไมในอดีตแม็กนีโตถึงเลือกจะทำร้ายคนอื่น” เห็นได้ชัดเลยว่า หนังได้นำเสนอสภาวะเด็กหลงทาง ของตัวละครนี้ออกมาได้อย่างน่าสนใจ มิหนำซ้ำเธอยังโดนตัวร้ายของภาคนี้อย่างสมิธ (เจสสิก้า แชสเทน) ชักจูงอย่างง่ายดาย เพราะในห้วงเวลาดังกล่าวจีนขาดที่พึ่งพาทางจิตใจไปเรียบร้อย

 

 

ถึงแม้เราจะคาดเดาถึงบทสรุปใน X-men: Dark Phoenix ได้ไม่ยากเย็นนัก แต่สิ่งที่เรามองเห็นระหว่างทางของเรื่องจัดได้ว่าหนังภาคนี้มีประเด็นแก่นโครงเรื่องที่น่าสนใจ แต่วิธีการเล่าออกมาเป็นหนังขนาดยาวอาจจะดูไม่ค่อยลงตัวนักสำหรับการผันตัวเองมากำกับหนังขนาดยาวเป็นครั้งแรกของไซมอน คินเบิร์ก (ส่วนมากเขามักจะรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์และมือเขียนบทซะมากกว่า) เพราะสุดท้ายแล้วหนังภาคนี้ก็ขาดแคลนความสนุกอย่างที่หนัง “X-Men” ควรจะเป็นไม่น้อยเลยทีเดียว

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook