MIB: International การกลับมาของบุรุษชุดดำผู้กวาดล้างเอเลี่ยน
การกลับมาอีกครั้งของ องค์กรเอ็มไอบี หน่วยจารชนสากลพิทักษ์โลก จากผู้อำนวยการสร้าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก และผู้กำกับ แกรี เอฟ เกรย์ จาก The Fate of the Furious มานั่งแท่นผู้กำกับ ทำให้ศึกในการปราบเอเลี่ยนครั้งนี้น่าสนใจและไม่ธรรมดา
การปราบวายร้ายครั้งใหม่
อย่างที่เราทราบกันดีว่านี่คือช่วงเวลาในการขยายจักรวาลของบรรดาหนังภาคต่อแทบทุกเรื่อง เอาเป็นว่าหนังเรื่องไหนสามารถทำเงินทั่วโลกได้เกิน 3 เท่าของต้นทุนในการสร้าง สตูดิโอใหญ่ๆ ก็พร้อมจะสร้างภาคต่อหรือขยายจักรวาลทันที เพราะรู้ว่านั่นคือโอกาสทำเงิน
ทว่าสตูดิโอใหญ่อย่างโซนี่ ที่ค่อนข้างขาดแคลนหนังแฟรนชายส์ เมื่อเทียบกับสตูดิโออื่นๆ ทำให้สตูฯ โซนี่ต้องพยายามกลับไปหยิบผลงานคลาสสิค หรือ หนังฮิตๆในช่วงปี 90s เอามีรีเมค รีบูต อยู่เรื่อยๆ และครั้งนี้ก็คือเป็นโอกาสของแฟรนชายส์ MIB หรือชื่อเต็มๆว่า Men In Black ในการกลับมาโลดแล่นบนจอใหญ่อีกครั้ง
เมื่อขบวนการ MIB หรือชายชุดดำไม่ได้มีสำนักงานอยู่แค่ในอเมริกา แต่มีสำนักงานครอบคลุมไปทั่วโลก เอเจนท์เอช (คริส เฮมส์เวิร์ธ) จึงต้องจับมือร่วมกับเอเจนท์หญิงน้องใหม่ไฟแรงอย่างเอ็ม (เทสซา ธอมป์สัน) แม้แรกๆเคมีของทั้งสองอาจจะไม่ลงกันเท่าไหร่ แต่เมื่อร่วมงานกันซักระยะ พวกเขากลับพบความเข้าขากันอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งสองต้องรับมือกับภัยคุกคามในรูปโฉมใหม่ เมื่อมนุษย์ต่างดาวที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นใครก็ได้ (และแปลงร่างเป็นเจ้าหน้าที่เอ็มไอบีได้อีกต่างหาก) พวกเขาจึงต้องผนึกกำลังกันเพื่อกอบกู้โลกจากภัยเงียบสุดร้ายกาจ
การต่อยอดจักรวาลของชายชุดดำ (และแว่นดำ)
ภาพจำของแฟรนชายส์ MIB คือชุดตัวละครเอกของเรื่อง ซึ่งจะใส่สูทดำ สวมกางเกงขายาวสีดำ วางมาดขรึม โดยหน่วยงานนี้ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสานสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยหน่วยงานเอ็มไอบี มีหน้าที่ในการออกใบอนุญาต (เหมือนตม.ตามสนามบิน) ตรวจตราความเรียบร้อย ควบคุมการเคลื่อนไหว ดูแลการเดินทางของเอเลี่ยนที่อยู่บนโลกใบนี้ ในแบบที่ประชากรบนโลกไม่สามารถจินตนาการได้และไม่มีวันรับรู้ถึงการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาว
อุปกรณ์ประจำกายของเจ้าหน้าที่เอ็มไอบีทุกคนคือ ปากกาพิเศษหรือนิวเรไลเซอร์ซึ่งทำหน้าที่ในการปล่อยลำแสงที่ช่วยลบความทรงจำของมนุษย์โลกที่พบเจอกับเหตุการณ์ที่เอเลี่ยนมีส่วนเกี่ยวข้อง และใช้สำหรับปกปิดตัวตนของกลุ่มเอ็มไอบี เห็นเป็นเหมือนกับข่าวลือหรือสภาวะเดจาวู
จากเค้าโครงเรื่องเดิม MIB: International คือการต่อยอดแนวความคิดดังกล่าว พร้อมกับผนวกเอาองค์ประกอบใหม่ๆเข้าไปในหนัง และแม้ว่าหนังในภาคนี้จะยังคงดำรงอยู่ในจักรวาลเดียวกับหนัง 3 ภาคแรกก็ตาม แต่ฉากหลังของหนังภาคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่นิวยอร์กเป็นหลัก ในหนังภาคนี้มีความเป็นสากลมากขึ้น มีกลุ่มตัวละครหน้าใหม่เข้ามา
เอเจนท์เอ็มหรือมอลลี่
เอ็ม (เทสซา ธอมป์สัน) คือนักแสดงเดินเรื่องคนใหม่ ซึ่งหนังจะพาคนดูไปรู้จักกับเธอสมัยเป็นเด็กน้อยที่ชื่อมอลลี่ ที่พ่อแม่ของเธอได้อยู่ในเหตุการณ์ที่มนุษย์ต่างดาวบุกโลก แต่มอลลีสามารถหลบหลีกจากลำแสงนิวเรไลเซอร์ที่ใช้ลบความทรงจำได้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มอลลี่หมกมุ่นเกี่ยวกับการค้นหาความจริงถึงการมีอยู่ของเอเลี่ยนบนโลก รวมถึงองค์กรชายชุดดำ
เอ็มใช้เวลาในชีวิตหมดไปกับการค้นหาคำตอบ จนเธอก็ได้พบกับสำนักงานใหญ่ของเอ็มไอบีในนิวยอร์ก ความฉลาดและทักษะนักสืบของมอลลี่ไปเข้าตาเอเจนท์โอ (เอ็มมา ธอมป์สัน) มอลลี่จึงได้รับตำแหน่งเป็นเอเจนท์เอ็ม
เอเจนท์เอช
เอเจนท์เอชหรือบุรุษในตำนาน ซึ่งได้หนุ่มหล่ออย่างคริส เฮมส์เวิร์ธมารับบทบาทนี้ เอเจนท์เอช เคยกอบกู้โลกมาแล้ว และเขายังมีอาวุธประจำกายอย่างดี อะตอมไมเซอร์ สำหรับเอเจนท์เอชแล้วเขาได้รับความชื่นชมจากบรรดาเพื่อนร่วมงานด้วยกัน เพราะทั้งหน้าตาอันหล่อเหลา และความสามารถที่เขามี โดยก่อนหน้านี้เอเจนท์เอชเป็นคู่หูร่วมกับเอเจนท์ไฮที (เลียม นีสัน) ในการปกป้องโลกจากเอเลี่ยน แต่เมื่อภารกิจดังกล่าวจบหลง เอเจนท์เอชก็เหมือนจะหลงตัวเอง และยึดติดกับเสน่ห์ของตัวเองจนเพื่อนร่วมงานบางคนหมั่นไส้
การที่เอเจนท์เอชถูกจับคู่กับเอเจนท์เอ็มจึงกลายเป็นบททดสอบครั้งใหม่ ซึ่งทั้งสองต้องรับงานแรกร่วมกับในการไปต้อนรับเอเลี่ยนชั้นสูง วันกัส ดิ อั๊กลี ที่กำลังจะเดินทางมาเยือนโลกเพื่อพักผ่อน ทว่าระหว่างที่พวกเขามาถึงไนท์คลับ วันกัส ดิ อั๊กลี ถูกลอบสังหาร ในเวลาเดียวกันเอเจนท์เอชและเอ็มค้นพบอีกว่าทริปเที่ยวโลกครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแวะมาพักผ่อน แต่เขายังแอบพกอาวุธอานุภาพร้ายแรงที่สามารถทำลายล้างทั้งกาแล็กซี่ได้ในพริบตามาด้วย
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ เดอะ ไฮฟ์ เอเลี่ยนสายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความก้าวร้าว ได้ส่งสองมือสังหารมายังโลกเพื่อยึดครองอาวุธดังกล่าว แต่ระหว่างสืบเหตุการณ์ฆาตกรรมสุดพิศวงนี้ เอเจนท์เอ็มก็เกิดเฉลียวใจว่า มือสังหารจะล่วงรู้ตำแหน่งของวันกัส ดิ อั๊กลี ได้อย่างไรในเมื่อวาระทุกอย่างเป็นเรื่องภายในองค์กรเอ็มไอบีเท่านั้น ทำให้ทั้งสองเริ่มสงสัยว่าการที่ข้อมูลรั่วไหลออกไป อาจจะเป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในองค์กรนี้ก็เป็นได้