[รีวิวซีรีส์] The Boys รวมพลคนกระทืบซูเปอร์แมน
The Boys ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มคนธรรมดากลุ่มหนึ่ง ซึ่งรวมตัวกันเพื่อแก้แค้นเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ที่เบื้องหลังได้ใช้พลังอำนาจไปในทางที่ผิด โดยพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เคยมีอดีตที่แสนเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับเหล่ากลุ่มซูเปอร์ฮีโร่อันดับ 1 ของโลกที่เรียกตัวเองว่า The Seven
นี่คือซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่พล็อตแรงที่กระแสกระหึ่มโลกในห้วงเวลานี้ หลายสำนักยกคะแนนเต็มให้ อย่างเว็บ imdb ที่คะแนนสูงยากมาก ๆ ยังซัดไป 9.1/10 คิดดู ซีรีส์นี้ดัดแปลงจากคอมิกชื่อเดียวกันของ การ์ธ เอนนิส จากสำนักพิมพ์ไดนาไมต์เอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเอนนิสเองคือผู้สร้างสรรค์คอมิกชุด Preacher ของค่ายเวอร์ติโก และทำงานให้กับคอมิกเรื่อง The Punisher ของมาร์เวลมากว่า 9 ปี ไม่แปลกที่งานของเขาจะเต็มไปด้วยความรุนแรงชนิดถึงลูกถึงคน รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นหนัก ๆ อย่างถึงพริกถึงขิง
The Boys มีจุดแข็งในการเล่าเรื่องที่แตกต่าง ในห้วงยุคสมัยที่ฮีโร่มาร์เวล และดีซีครองวงการบันเทิง หากจะพูดไปมันคือ อัลเตอร์แอนตี้ฮีโร่ ในแบบที่ Watchmen ของ อลัน มัวร์ เคยวิพากษ์วงการฮีโร่ไว้ว่าซูเปอร์ฮีโร่คอยสอดส่องคนไม่ดี แล้วใครกันจะสอดส่องเหล่าฮีโร่ไม่ให้แตกแถว ขณะที่อลัน มัวร์ เลือกให้ฮีโร่สีเทา ๆ จัดการปัญหากันเอง แต่คอมิกของเอนนิสกลับยกให้แก๊งก้อนของคนธรรมดาที่อ่อนแอไร้พลัง และเต็มไปด้วยไฟแค้นสุมในใจ คือผู้มาจัดการกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ที่หลงระเริงในพลังแทน จึงทำให้มันมีความน่าติดตามยิ่งกว่าเพราะเราคงสงสัยและอยากรู้ว่ามนุษย์ธรรมดา (ที่ไม่ได้เก่งเทพแบบแบทแมนด้วย) จะสังหารเหล่าเทพเจ้านั้นได้อย่างไร เมื่อประกอบกับลีลาการเล่าที่โหดสัสสะบัดช่อ เลือดเป็นเลือด เนื้อเป็นเนื้อ ใครเกลียดหนังแหวะ ๆ จะได้ดูแบบเต็ม ๆ ก็งานนี้ล่ะ
ซีรีส์นี่เลยโดนเรตไปถึง 18+ ทั้งความรุนแรง ภาษาหยาบคาย ภาพเปลือย รวมถึงเนื้อหาที่เกินเด็กไปหลายขุม แต่ก็ด้วยความจริงจังในการประเคนความรุนแรงนี้ด้วยล่ะ ยิ่งทำให้เราลุ้นกับตัวละครไปใหญ่ว่ามันจะรอดพลังระดับเหนือจินตนาการได้อย่างไร และทุกครั้งที่ฮีโร่ในเรื่องปรากฏตัวเราก็เสียวสันหลังทุกครั้งว่าจะมีตัวละครไหนตายแบบเราไม่ทันตั้งตัวหรือเปล่า ซึ่งมันทำงานได้ดีตั้งแต่ ตอนที่ 1 ที่เราเห็นการตายของตัวละครครั้งแรก ไปยันตอนที่ 8 อันเป็นตอนจบของซีซั่นแรกเลยทีเดียว
หนังได้ดาราที่น่าสนใจหลายคนมาแจม ทั้งตัวหลักและที่มาเสริมได้อย่างน่าประหลาดใจ ตัวหลัก ๆ ที่เราคุ้นหน้าก็มี คาร์ล เออร์แบน ที่มารับบท บิลลี บุตช์เชอร์ หัวหน้าทีม เดอะบอยส์ ผู้ฝังแค้นต่อการจากไปของภรรยาว่าเป็นความผิดของซูเปอร์ฮีโร่ผู้ภาพลักษณ์ดั่งนักบุญ ทั้งยังเป็นซูเปอร์ฮีโร่เบอร์ 1 ของโลก นาม โฮมแลนเดอร์ ที่จงใจผสมภาพระหว่างพลังของ ซูเปอร์แมน จากค่ายดีซี กับวิชวลแบบ กัปตันอเมริกา ของค่ายมาร์เวลไว้ในตัวเดียวกัน ความเป็นตัวละครที่มีแต่ความแค้นของบิลลีทำให้เขาเป็นภาพลักษณ์ของ ไฟแค้น ที่พร้อมเผาผลาญทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เพื่อนร่วมทีมให้วอดวายไปพร้อมกับอริ ยิ่งทำให้ซีรีส์นี่ไม่ได้มีเพียงตัวร้ายที่เราต้องหวาดหวั่น หากแต่การกระทำที่แค้นบังตาของฝั่งตัวเอกเองก็เป็นปัจจัยที่พร้อมจะพลิกสถานการณ์ให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ และการคาดเดาอะไรไม่ได้ก็คือสูตรปรุงรสสำคัญที่ซีรีส์ดัง ๆ ยุคปัจจุบันต่างมีด้วยนั่นเอง
แม้บิลลีจะเป็นตัวสำคัญในการผลักเรื่องไปข้างหน้า ทว่าผู้ชมจะถูกพาไปยังซอกซอยต่าง ๆ ของโลกในซีรีส์ด้วยสายตาของ ฮิวอี้ แคมป์เบล เด็กหนุ่มร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าผู้สูญเสียคนสำคัญไป ซึ่งรับบทโดย แจ๊ก เควด ฮิวอี้คือตัวอย่างของคำว่าผีซ้ำด้ำพลอยได้ดีที่สุด เขาธรรมดาและอ่อนแอที่สุดในทีม ไม่ใช่อดีตทหาร ไม่ได้มีร่างกายล่ำใหญ่ ไม่ได้ฉลาดเป็นกรด เป็นแค่คนที่ถูกบิลลีจูงจมูกและหลอกใช้ประโยชน์จากความแค้นต่อฮีโร่ที่ไม่มีหนทางระบายออกอย่างเปิดเผยในสังคม จนเมื่อภารกิจล้างบางฮีโร่นี้ได้นำพาเขามารู้จักกับ แอนนี (รับบทโดย อีริน มอริอาร์ตี้) หญิงสาวผู้มีพลังยิงแสงสว่างออกจากร่าง เธอถูกสอนฝังหัวแต่เด็กจากแม่บังเกิดเกล้าให้โตมาเป็นฮีโร่ในนาม สตาร์ไลท์ ซึ่งเมื่อเธอได้เข้ามาสัมผัสกลุ่มฮีโร่ที่เธอใฝ่ฝันอย่าง เดอะเซเว่น จริง ๆ แล้ว มันก็เหมือนเด็กที่ได้รู้ว่าซานตาครอสไม่มีจริง เพราะทุกอย่างคือธุรกิจที่มีนักการตลาดคอยเขียนบทเท่ ๆ ให้ฮีโร่พูดตามทำตามอยู่เสมอ แต่เธอก็อยากเชื่อว่านี่คือโอกาสให้เธอได้ช่วยเพื่อนมนุษย์อย่างที่ฮีโร่ควรเป็น ความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างแอนนี่กับฮิวอี้ ก็ทำให้ฮิวอี้ที่ต้องหลอกใช้แอนนี่เพื่อเข้าถึงกลุ่มฮีโร่ต้องอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจไม่น้อย และนี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้อะไร ๆ ยุ่งเหยิงเข้าไปอีก
พูดถึงฝั่งตัวเอกไปมากแล้ว ต้องพูดถึงตัวร้ายบ้าง จริง ๆ หนังแนวนี้จะตรึงเราติดได้ก็เพราะด้วยความเก่งและน่ากลัวของตัวร้ายเป็นสำคัญ ยิ่งไม่เห็นวี่แววจะชนะเรายิ่งอยากลุ้นอยากเอาใจช่วยพระเอก และซีรีส์นี้ก็มีตัวร้ายที่ดีอยู่ในมือมากพอด้วย กลุ่ม เดอะเซเว่น ประกอบด้วยฮีโร่ที่ได้รับการคัดสรรจากผู้มีพลังพิเศษทั่วโลกมาเหลือเพียง 7 คน นำโดย โฮมแลนด์เดอร์ ที่เหมือนซูเปอร์แมนแบบ พระเจ้าจอมปลอม อย่างที่บอกไปแล้ว มี ควีนเมฟ ที่ถอดมาจากวันเดอร์วูแมน ผู้มีสำนึกดีแต่อยู่เห็นโลกสีเทามานานจนไฟในใจมอดดับ มี เดอะดีป ที่คืออะควาแมน ในภาคที่หื่นกามและชะตาชีวิตตลกร้าย มี เอ-เทรน ที่คือเดอะแฟรชผสมฟอลคอน เป็นฮีโร่ที่มีมิตความเว้าแหว่งแบบมนุษย์สูงมากทั้งความผิดของเขายังเป็นตัวทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้น มี ทรานลูเซนต์ มนุษย์ล่องหนจอมโรคจิต และสุดท้าย แบล็กนัวร์ ฮีโร่ในชุดดำสุดปริศนา
ฮีโร่เหล่านี้ถูกบริหารงานด้วยบุคลากรหลายร้อยคนของบริษัทชื่อ วอท ซึ่งทำให้ฮีโร่กลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญทีเดียว แม้เรื่องนี้จะไม่บอกโต้ง ๆ ว่าเหล่าฮีโร่ได้เคยทำสิ่งเลวร้ายใดไว้ แต่เรารู้ว่าหนักหนาผ่านความโกรธแค้นของบิลลี แต่มันก็ถูกกดเป็นความลับจากคนดูไปแทบตลอดจนค่อย ๆ ผลิบายขึ้นทีละน้อยในแต่ละตอน ข้อดีคือเราค่อย ๆ เข้าใจตัวละครต่าง ๆ มากขึ้น และไม่มุ่งตัดสินแบบดำขาวกับตัวละครใด ๆ ในช่วงต้นเรื่องเรายังกังขาด้วยซ้ำว่าฮีโร่ภาพดีเหล่านี้หรือที่เป็นตัวร้ายของเรื่อง และเอาจริง ซีรีส์ก็บอกเราว่าไม่มีฮีโร่ตัวไหนที่เลวบริสุทธิ์ มันต่างมีที่มามีเหตุผลในจุดที่ด่างดำของตนเอง หนักบ้างเบาบ้าง บางตัวละครก็น่าสงสารเสียด้วยซ้ำ หลายตัวมีแนวโน้มจะย้ายข้างได้ หลายตัวยิ่งพยายามเป็นคนดียิ่งต้องถลำลึกในการปิดความชั่วดั่งน้ำผึ้งหยดเดียว บางตัวคือหน้ากระดาษสีดำที่ทุกคนบนโลกเห็นเป็นผืนกำแพงใหญ่สีขาวสะอาด มันจึงยิ่งท้าทายฝั่งต่อต้านเข้าไปซ้อนหลายชั้น นอกจากพลังระดับเทพเจ้าที่ไม่รู้จะเอาชนะอย่างไรแล้ว ด้านคนในสังคมยังเข้าข้างอย่างเต็มกำลังอีก แล้วมันจะเหลืออะไรไปชนะอีกล่ะ (ซึ่งนั่นล่ะถึงต้องตามดูจนติดหนึบ)
ความน่าประหลาดใจที่พูดทิ้งไว้อีกอย่าง คือตัวละครสมทบที่ทำให้ว้าวเหวอว่ามาด้วยเหรอ ก็มีทั้ง ไซมอน เพ็กก์ ทั้ง บิลลี เซน ทั้งเจ้าหนู ฮาลีย์ โจเอล ออสเมนต์ (เจ้าหนู ผมเห็นคนตาย ในหนัง The Sixth Sense) ที่อันนี้พีคจริงจำแทบไม่ได้ และยังอีกหลายตัวละครเลย ก็เป็นความประทับใจเล็ก ๆ ที่ทำให้ซีรีส์ดูมีอะไรให้เก็บเล็กเก็บน้อยด้วย
สุดท้ายสิ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้ไม่ได้ถึงดีสุด ก็เป็นด้วยการดัดแปลงคอมิกที่จบไปแล้วนั้นทั้งยังมีฉากหลังว่าด้วยช่วงเวลา 9/11 เป็นสำคัญมาเป็นซีรีส์ยุคปัจจุบัน ก็เผชิญปัญหาอยากขายต่ออยู่ไม่น้อย ทำให้ช่วงปลายซีซันของเรื่องเราสัมผัสได้ถึงความพยายามยืดดึงเชิง ปรับเปลี่ยนการเล่าเพื่อให้มีซีซั่นต่อไป ซึ่งข้อดีคือในซีซั่นต่อไปที่จะไม่มีคอมิกเป็นแกนเดิมแล้ว ซีรีส์ย่อมเล่าอะไรให้เราประหลาดใจได้ทุกทาง ยิ่งปมใหญ่ที่ทิ้งบอมบ์ใส่คนดูไว้นี่ยิ่งอยากให้มีซีซันต่อไว ๆ ทีเดียว แต่ข้อเสียที่แรกมาก็ตามที่บอกคือความประดักประเดิดของเรื่องราวในช่วงหลังที่ใคร ๆ ก็คงรู้สึกล่ะว่าไม่สนุกเท่าครึ่งแรกเลย
ใครสนใจดูก็เข้าไปดูผ่านบริการสตรีมมิงเครือ Amazon อย่าง Prime Video ได้แล้วสำหรับชาวไทยสามารถทดลองดูฟรีได้ 7 วัน หลังจากนั้นก็ยังจะสามารถต่อสมาชิกในราคาพิเศษไม่กี่สิบบาทต่อเดือนได้อีก 6 เดือนเลยทีเดียว นอกจากซีรีส์ The Boys ตอนนี้ก็มีคอนเทนต์ที่มีซับไทยมากขึ้นแล้วด้วย นับเป็นอีกบริการที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชื่นชอบซีรีส์ออริจินัลฝั่งตะวันตกดี ๆ ดาร์ก ๆ หลากหลายแนวด้วย