[รีวิว] โปรเม อัจฉริยะ/ต้อง/สร้าง สิ่งที่ต้องสูญเสียสำหรับการสร้างฮีโร่
นี่คือ เรื่องราวทั้งหมด ของ “เม เอรียา จุฑานุกาล” และครอบครัวของเธอ ที่เริ่มต้นจาก การทิ้งโลกวัยเด็กของเธอไว้เบื้องหลังและเริ่มเล่นกอล์ฟ ตั้งแต่ยังเด็ก ตลอดเวลา เม และครอบครัว ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ทั้งเรื่องกอล์ฟ และบททดสอบ ความยากลำบากในการใช้ชีวิต ช่วงเวลาที่บาดเจ็บ การตกลงสู่จุดที่แถบจะเรียกได้ว่า ต่ำที่สุดของชีวิต ของเธอ และครอบครัว
“ต้องแลกอะไรบ้างเพื่อความฝัน” อาจเป็นคำถามที่หนักหนาเพียงพอแล้ว แต่หนังยังเพิ่มความหนักอึ้งลงไปอีกด้วยคำถามว่า ความฝันเป็นสิ่งที่เราต้องการเอง หรือเป็นเพียงความต้องการของใครที่ฝังหัวเรามา แล้วความฝันนี้ยังมีค่ากับเราแค่ไหน ซึ่งนี้น่าจะเป็นโจทย์ที่ทำให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นมาจริง ๆ มากกว่าผลงานความสำเร็จของโปรเมในชีวิตจริงที่ก้าวขึ้นมาเป็นมือ 1 ของโลกในวัยเพียง 21 ปี ซึ่งเป็นผิวเคลือบอันหอมหวานเชิญชวนผู้ชมให้ใคร่รู้เท่านั้น และนั่นจึงทำให้หนังเรื่องนี้มีของ แตกต่าง และน่าสนใจกว่าหนังแนวชีวประวัติเรื่องอื่น ๆ เพราะมีภูมิหลังดรามาที่เฉพาะตัวในแบบครอบครัวเอเชียมาก ๆ
นี่คือผลงานล่าสุดจากค่าย Transformation Films ผู้สร้างหนังไทยคุณภาพอีกเจ้าหนึ่ง ล่าสุดก็หนังไทยในดวงใจของใครหลายคนอย่าง แสงกระสือ เป็นการันตี โดยครั้งนี้ได้ดึง คิม-ธนวัฒน์ เอี่ยมจินดา ผู้กำกับสายโฆษณาสุดเก๋ามาทำหนังยาวเรื่องแรก และได้ขออนุญาตนำชีวประวัติของโปรกอล์ฟหญิงชาวไทยที่ประสบความสำเร็จถึงระดับโลกอย่าง โปรเม เอรียา จุฑานุกาล มาเผยเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่เคยมีใครเคยรู้มาก่อน ซึ่งปมดราม่าสุดเหลือเชื่อระหว่างลูกสาวและพ่อนั้นก็เป็นตัวชูโรงสำคัญ
แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าให้มองเป็นหนังบันเทิงเอาจะดีที่สุด เพราะเรื่องราวที่เห็นบนหนังมันก็เว่อเหลือเชื่อเกินไปนั่นล่ะ ใครมันจะร้ายได้ขนาดนั้น ดูคิดเป็นจริงเป็นจังไปจะไม่อินเสียเปล่า ๆ
หนังโดดเด่นมาก ๆ ๆๆๆ ๆๆๆ แบบอยาก ๆ ใส่ไปอีกหลาย ๆ ตัว คือเรื่องการแสดงของ พี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่กล้าฟันธงเลยว่าเรื่องนี้แกขโมยหนังทั้งเรื่องไปเป็นของแกเรียบร้อย มองดี ๆ นี่ไม่ใช่หนังโปรเมหรอกมันคือหนัง พ่อเม เสียมากกว่า ยิ่งได้การเขียนบทที่ใส่สีตีฉากมาขยี้ให้พี่เอกได้โชว์สกิลแบบพลังทำลายล้างสูงด้วยแล้ว คือแกเล่นเอานักแสดงคนอื่นตายจริง ๆ แต่ก็ต้องชื่นชมในส่วนของตัวละครอื่น ๆ เช่นกันที่เพิ่มดีกรีการปะทะในฉากให้ระอุสุด ร้าวรานสุด อย่างบทแม่ที่ต้องมาขับพลังดราม่าครอบครัวให้เข้มขึ้น ที่ได้ เปิ้ล หัทยา วงศ์กระจ่าง มารับทถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับพี่เอกมาก พี่เปิ้ลเล่นแบบนิ่งแต่พร้อมระเบิดได้สุดยอดมาก พวกฉากที่เห็นในตัวอย่างน่ะ บอกเลยแค่น้ำจิ้มครับ ของจริงนี่ซี้ดปากยาว
และในฟากดารานำที่ต้องแบกบทเด่นของเรื่อง แม้จะเลือกใช้นักแสดงหน้าใหม่อย่าง คริสซี่ กฤษณ์สิรี สุขสวัสดิ์ จากละคร The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ มารับบทโปรเมตอนโต และได้ ปริม อัจฉรียา โพธิพิพิธธนากร จากละครลูกกรุง มารับบทโปรโม พี่สาวของโปรเม ซึ่งทั้งคู่ก็ผันตัวมาสู่จอเงินและเล่นดราม่าได้แบบผิดหูผิดตาจากงานเก่า ๆ ไปเลย และเอาตัวรอดจากพลังของพี่เอกได้แบบไม่อายใคร อย่างปริมก็มีฉากใหญ่ในบ้านที่เธอถ่ายทอดได้สุดยอดมาก และในส่วนของคริสซี่เองก็มีฉากร้านอาหารที่คิดว่าเล่นยากและเธอก็ทำได้ดีน่าจดจำ
อีกส่วนที่หนังโดดเด่นมากไม่แพ้กันคงเป็นการเล่าเรื่องแบบตั้งคำถาม ที่ชวนให้คิดให้ย้อนมองดูตัวเราเองตลอดเวลา ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่ท้าทายความรู้สึกมาก ๆ แม้ไม่ได้เรื่องใหญ่ในชีวิตจริง แต่พอปรากฏในหนังไทยแล้วกลายเป็นฉากเล่นใหญ่ที่ทำเอาประหลาดใจเหมือนกันที่ผู้สร้างไม่กลัวกองเซนเซอร์เลยหรือ และภายใน 10 นาทีหนังอัดประเด็นใส่หน้าคนดูไม่ยั้ง ทั้งคำพูดของพ่อที่ขอครูให้ลูกไปซ้อมมากกว่าไปโรงเรียน เพราะเขาจะปั้นให้ลูกเป็นแชมป์โลกไม่ได้มาเป็นพนักงานเงินเดือนของานเขาทำด้วยใบปริญญาแบบเด็กทั่วไป แม้คำแรงแต่ก็น่าคิดใช่มั้ยล่ะ?
มันยังสะท้อนเรื่องทัศนคติและการเสียสละในมุมมองของพ่อ ว่าถ้าจะสร้างแชมป์โลกคุณพร้อมเสี่ยงทุกอย่าง ทั้งทรัพย์สินทั้งหมด ทั้งบรรยากาศแบบพ่อแม่ลูกในครอบครัวที่จะหายไปเหลือเพียง โค้ชกับนักกีฬา เท่านั้น แล้วก็กลายเป็นคำถามน่าสนใจว่า แต่กับเด็ก ๆ ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะเลือกทางเดินชีวิต เลือกความฝัน เลือกความชอบของตนเอง เขากำลังถูกละเมิดการใช้ชีวิตหรือไม่ ซึ่งหนังก็มีคำถามยิงต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ อย่างสนุกสนานและให้สาระสุด ๆ จนกระทั่งฉากสุดท้ายที่ว่าเด็กทุกคนมีพรสวรรค์แค่รอการสนับสนุน ผมเชื่อว่าทุกคนจะมีคำถามในใจที่ต่างกัน และได้คำตอบที่ต่างกันจากหนังเรื่องนี้ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่หนังก็ทำหน้าที่ประเทืองปัญญาได้สมบูรณ์แบบมากแล้ว ต้องคารวะในจุดนี้จริง ๆ
จุดเสียในหนังที่เห็นชัดมาก ๆ คือความคลุมเครือหลายอย่างที่ลืมเล่าให้เคลียร์แล้วทิ้งความสงสัยในใจคนดูแบบไม่จำเป็น อย่างตัวตนของพี่ยุ้ยที่อยู่ดี ๆ ก็โผล่เข้ามา นิสัยการเก็บฝาขวดของโปรเมที่ไม่ได้ขยายความ และที่หนักหนาสุดคือแรงจูงใจที่มาที่ไปในการมีเป้าหมายแรงกล้าของตัวละครพ่อว่าทำไมต้องยึดติดแชมป์โลกกีฬากอล์ฟขนาดนั้น ซึ่งกลายเป็นทำให้ตัวละครลึกไม่สุดมีมิติไม่สุดไปอย่างน่าเสียดาย
และสำหรับใครที่กลัวว่าจะดูกติกากอล์ฟไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องห่วงเลย เพราะหนังแทบไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแข่งขันอะไรเลย ใครหวังไปดูหนังกอล์ฟจริงจัง ก็เสียใจด้วยนะครับ แต่เชื่อว่าการตัดสินใจให้เป็นดราม่าบทเรียนชีวิตนั้นจะสื่อสารไปยังผู้ชมได้ลึกกว่า และได้ประโยชน์กว่าด้วยนั่นเอง
ปล. หนังมีฉากที่โปรเมตัวจริงมารับเชิญด้วย และหนังเรื่องนี้มีฉากหลังเครดิตแรกด้วย ซึ่งชวนตีความมาก ๆ