รีวิว Scary Stories to Tell in the Dark อำนาจของเรื่องเล่า
"บทความนี้มีการเปิดเผยตอนจบของภาพยนตร์ หากยังไม่ได้รับชมกรุณา "ปิด" บทความนี้ไปก่อน"
ความพิเศษประการหนึ่งของหนัง Scary Stories to Tell in the Dark คือการหยิบเอาวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง Scary Stories ทั้ง 3 เล่ม ของนักเขียน อัลวิน ชวาร์ส มาดัดแปลงให้กลายเป็นหนังขนาดยาวเรื่องเดียว
เหตุการณ์ในหนังมีฉากหลังเป็นยุคสงครามเวียดนามพอดิบพอดี (ปี 1968) ในขณะที่หนุ่มสาวผู้อาศัยอยู่ในเมืองมิลวัลเลย์ ที่มีชีวิตเป็นวัยรุ่นในโรงเรียนมัธยมธรรมดาสามัญ กลับได้ตัดสินใจนึกสนุกเดินเข้าบ้านผีสิงอันเป็นตำนานประจำเมือง ที่ว่าด้วยบ้านของ “ซาร่าห์ เบลโลวส์” หญิงสาวที่เสียชีวิตและยังคงคลั่งแค้นอยู่จนถึงปัจจุบัน
สเตลล่า นิโคล (โซอี้ มาร์กาเร็ต คอลเลต) ได้ค้นพบ “หนังสือของซาร่าห์ เบลโลวส์” ในบ้านผีสิงหลังดังกล่าว ด้วยความบังเอิญ สเตลล่าได้หยิบหนังสือเล่มนั้นกลับมาที่บ้าน ในค่ำคืนนั้นเอง ได้เกิดเหตุการณ์ผิดปกติกับทอมมี่ (ออสติน เอบราห์ม) เมื่อเขาค้นพบว่าหุ่นไล่กาฮาโรลด์ลุกขึ้นมามีชีวิตและไล่ล่าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ระหว่างที่เรื่องราวเกิดขึ้น หนังสือของซาร่าห์ก็เขียนเล่าเรื่องราวนั้นเป็นตัวหนังสือสีเลือดไปพร้อมๆกัน
การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของทอมมี่ สร้างความประหลาดใจให้กับสเตลล่าและเพื่อนๆ ไม่นานนัก เธอก็เริ่มค้นพบว่า เมื่อใดก็ตามที่หนังสือของซาร่าห์ เบลโลวส์ เริ่มเขียนเรื่องราวสยองขวัญ เมื่อนั้น “ชื่อ” ของคนที่ถูกระบุขึ้น จะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับในเรื่องเล่านั้น สเตลล่าจึงต้องหาหนทางหยุดยั้งเหตุการณ์ดังกล่าวก่อนที่เพื่อนของเธอจะหายตัวไปทีละคน
ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่บรรดาที่ปีศาจต่างๆในจินตนาการของแต่ละเรื่องเล่าได้ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อสร้างความตื่นเต้นตกใจ แต่หนังเรื่องนี้ยังเป็นการอุปมาอุปมัยในทางอ้อมที่ว่าด้วยเรื่องเล่าของ “ซาร่าห์ เบลโลวส์” ที่ถูกทารุณกรรมโดยครอบครัวของตัวเองและความคลั่งแค้นทำให้เธอมีพลังอำนาจในการดลบันดาลให้ครอบครัวของเธอเองมีอันเป็นไปตามเรื่องเล่าที่เธอเขียนขึ้นมา
“เรื่องเล่าเป็นทั้งอำนาจ และเป็นหนทางในการเยียวยาตัวเอง” คือวรรคทองที่ปรากฏอยู่ในเรื่องและถูกเอ่ยถึงหลายครั้ง เราจะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่หนังสือของซาร่าห์ถูกเขียนเรื่องราวขึ้นจะต้องมีคนบาดเจ็บ ล้มตาย หรือหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งการใช้วิธีการอันรุนแรงของซาร่าห์ (ที่เป็นวิญญาณหรือความชั่วร้าย) นั้นก็เปรียบเสมือนวิธีการเยียวยาตัวเองของเธอเช่นกัน (ปลดแอกความแค้นที่คนอื่นทำร้ายเธอ ด้วยการทำร้ายคนอื่นกลับ)
เมื่อเราลองพิจารณาบริบทฉากหลังที่ว่าด้วยสงครามเวียดนามที่กำลังคุกกรุ่น บรรดาคนหนุ่มสาวอเมริกาถูกส่งไปรบในสงครามดังกล่าวอย่างไร้เหตุผล เพียงเพราะความต้องการแสวงหาอำนาจและทรัพยากรทางธรรมชาติของรัฐบาล ไม่ต่างอะไรจากการใช้ “อำนาจมืด” ของซาร่าห์ ต่างก็เพียงแต่ “สงคราม” ไม่ใช่วิธีการเยียวตัวเองของมนุษย์
ความชั่วร้ายของผีสางยังสามารถยุติลงได้ เมื่อมันได้ “วาง” ความคลั่งแค้นลง แต่ความกระหายในอำนาจ ทรัพย์สิน เงินทองของมนุษย์นั้นไม่ได้ยุติลงง่ายๆ ดังที่เราได้เห็นจากฉากสุดท้ายของเรื่องที่ตัวละครอย่างราโมน (ไมเคิล กาซ่า) คนหนุ่มที่เคยหนีทหารมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาก็ยังคงต้องกลับไปร่วมสงครามเวียดนามอยู่ดี หรือบรรดาเพื่อนที่หายตัวไปของสเตลล่าก็ยังคงสาบสูญ สะท้อนให้เห็นว่า ถึงอำนาจมืดจะหมดไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องราวเลวร้ายนั้นจะหายไปจากชีวิตประจำวันของเราเช่นกัน