[รีวิวซีรีส์] GLOW Season 3-มวยปล้ำ ลาสเวกัส และประเด็นทางสังคมที่เข้มข้นขึ้น

[รีวิวซีรีส์] GLOW Season 3-มวยปล้ำ ลาสเวกัส และประเด็นทางสังคมที่เข้มข้นขึ้น

[รีวิวซีรีส์] GLOW Season 3-มวยปล้ำ ลาสเวกัส และประเด็นทางสังคมที่เข้มข้นขึ้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่องราวดำเนินต่อเมื่อสาวๆแห่ง โกลว์ ได้มีโชว์มวยปล้ำที่ลาสเวกัสภายใต้การดูแลของ แซนดี (จีนา เดวิส) ท่ามกลางแสงสีแห่งเมืองการพนันที่ค่อยๆกระเทาะตัวตนของแต่ละคนออกมา ทั้งรูธ (อลิสัน บรี) ที่เริ่มตั้งคำถามถึงอาชีพนักแสดงจริงจังจนโอกาสมาถึง เมื่อ จัสติน (บริต บารอน) อดีตสมาชิกโกลว์และ แซม(มาร์ค มารอน) พ่อของจัสตินที่แอบหลงรักรูธเรียกเธอไปออดิชั่นหนังเรื่องแรกที่จัสตินเขียนบท ในขณะที่ เดบบี (เบตตี กิลพิน)เริ่มวางแผนอนาคตตัวเองในฐานะโพรดิวเซอร์จริงจังหลังถูกเมินจาก แบช (คริส โลเวล)โปรดิวเซอร์และพิธีกรโกล์วที่ประสบปัญหาในการบริหารการเงิน แต่การมาถึงของ เบอร์ดี (เอลิซาเบธ เพอร์กินส์) คุณแม่จอมบงการอาจพลิกเกมธุรกิจของเขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ตลอดจนอีกหลายชีวิตในโกล์วที่เริ่มได้เรียนรู้ความรักความจำปวดในอดีตที่ผูกพันพวกเธอไว้ด้วยกัน

สิ่งหนึ่งที่เราพอจะสรุปได้จากเรื่องราวในโกล์วแต่ละซีซันอาจพอจำกัดความได้ว่า ซีซันแรกคือการพาเราไปรู้จักกับสาวๆแต่ละคนที่ต้องมาทำงานภายใต้การควบคุมของผู้ชายที่บังคับพวกเธอโชว์มวยปล้ำเพื่อสนองความบันเทิงเพศชาย ส่วนซีซัน 2 คือการก้าวเข้ามามีบทบาทของสาวๆในฐานะคนทำงาน พวกเธอเริ่มเสนอไอเดียและในขณะเดียวกันก็เกิดความขัดแย้งกับบรรดาผู้มีอิทธิพลที่มักเป็นเพศชายจนในที่สุด เรื่องราวก็มาสู่ซีซัน 3 ซึ่งถือว่าเป็นซีซันที่มีดราม่ามากที่สุดเพราะคราวนี้เราจะเริ่มรู้จักตัวตนของสาวๆมากขึ้น เรื่องราวก็ไปเน้นด้านอารมณ์ ความผูกพัน ความรัก ที่มีอิทธิพลต่อตัวละครโดยตรงผ่านเส้นเรื่องหลักที่โชว์ของโกล์วได้มาอยู่ที่เมืองแสงสีอย่างลาสเวกัส ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดพลอตที่เกี่ยวกับการพนัน การลงทุน ความฉ้อฉล เพื่อสร้างความสนุกได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ทิ้งการบอกเล่าตัวละครในฐานะผู้หญิงที่มีความหลากหลายทั้งที่มาและรสนิยมทางเพศที่ชัดเจนมากขึ้น

ประเด็นหลักที่ดูจะถูกเชิดชูมาพูดถึงบ่อยครั้งคงหนีไม่พ้นการยอมรับในตัวตนของตัวเอง ซึ่งบทก็ชาญฉลาดมากที่ดึงโยงทั้งเรื่องของชาติพันธุ์อันหลากหลาย รสนิยมทางเพศแบบ LGBTQ มาผูกโยงสร้างเรื่องราวต่างๆ ในฉากหนึ่งของตอน 6 ที่สาวๆไปออกแคมป์กันกลางป่าก็เอื้อให้เกิดฉากแคมป์ไฟที่เชื่อว่าใครดูก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่โดยเฉพาะเรื่องราวของผู้อพยพจากปากคำของ เจนนี่ (เอลเลน หว่อง) และ เมลานี (แจคกี ธอฮ์น) ที่เปิดอกระบายความอัดอั้นของตนที่ต้องแสดงบทที่ดูเป็นการเหยียดเชื้อชาติที่มาตอกย้ำแผลในอดีตของพวกเธออีกที ส่วนประเด็น LGBTQ มาชัดเจนที่สุดจากเรื่องราวของคู่ อาธี (สุนิตา มานี) กับ โยลันดา (ชาคิรา บาร์เรรา) ที่ตัดสินใจคบหากันแต่ฝ่ายอาธีกลับไม่มั่นใจว่าเธอจะยอมรับตัวเองในฐานะคนรักเพศเดียวกันได้หรือเปล่า ซึ่งบทของซีรีส์ก็เขียนได้ละเอียดอ่อนและชวนให้เราสำรวจชีวิตตัวละครจนอดหลงรักและมอบหัวใจให้พวกเธอไม่ได้เช่นเคย

ส่วนประเด็นเรื่องของความรักต้องบอกว่า  GLOW ซีซันนี้ทุกตอนถูกขับเคลื่อนด้วยความรักตลอดไม่เพียงประเด็นรักไม่รักระหว่าง แซม กับ รูธ เท่านั้น อย่างแบชกับรอนด้าที่แต่งงานกันเพื่อให้ฝ่ายหลังได้กรีนการ์ดก็ถูกขยายเล่าในมุมมองที่จริงจังขึ้นว่าแท้จริงแล้วรอนด้าจงใจหลอกเอาเงินแบชหรือเป็นรักแท้กันแน่ และในขณะเดียวกันเองเราก็ไม่แน่ใจได้เลยว่าแบชรู้สึกกับรอนด้าอย่างไร หรือจะเป็นในมุมมองคนเป็นแม่อย่างเดบบีก็ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญว่าเธอจะให้ลูกน้อยมาใช้ชีวิตในลาสเวกัสหรือไม่ รวมไปถึงรักครั้งใหม่กับมหาเศรษฐีนิสัยดีที่อาจพลิกชะตาชีวิตเธอและเพื่อนๆไปตลอดกาล หรือจะเป็นความรักต่ออาชีพนางโชว์ของแซนดี นักธุรกิจหญิงที่รับบทโดย จีนา เดวิส ในวัย 63 ที่เซอร์ไพร์สคนดูด้วยการสวมชุดนางโชว์อวดหุ่นสุดเป๊ะ ที่ไม่เพียงเอาหน้าและหุ่นปังๆมาอวดในซีรีส์เท่านั้นแต่เธอยังแสดงให้เห็นถึงสปิริตและความรักต่ออาชีพในวันที่เธอพบว่ากิจการกำลังล่มสลาย  รวมไปถึงประเด็น LGBTQ ที่เราจะได้เห็นความรักในความหลากหลายทางเพศที่ต้องฝ่าฟันวิกฤติความเกลียดชังของสังคมที่เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ดูคงเห็นถึงพลังงานด้านบวกของความรักที่อยู่เหนืออคติทั้งมวล

สิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนไว้ก่อนคือซีรีส์ซีซันนี้ดูจะมีฉากเซ็กส์ที่โจ่งแจ้งไม่แพ้ The Naked Director ที่เราเพิ่งแนะนำไปเลยทีเดียว แม้ปริมาณไม่มากเท่าแต่ก็แซ่บไม่แพ้กัน ดังนั้นใครจะชมแนะนำว่าไม่ควรเปิดชมในที่สาธารณะนะครับ

ใครสนใจชมสามารถชมซีซัน 3 ได้แล้วทาง Netflix

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook