Midsommar เทศกาล “เที่ยว” เดียว
จากเทศกาลชวนฝันของนักท่องเที่ยว ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ตกต่อเนื่องกันหลายวัน แต่เมื่อพวกเขาพบว่า เทศกาลที่กำลังเดินทางไปเที่ยวนั้นได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นฝันร้ายเกินจินตนาการ
Midsommar โฟกัสไปที่คู่รักชาวอเมริกันอย่าง แดนี่ (ฟลอเรนซ์ พิวจ์) และ คริสเตียน (แจ็ค เรย์เนอร์) ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังตกอยู่ในสภาพวิกฤติ ใกล้แตกร้าวเข้าไปทุกที จนกระทั่งครอบครัวของแดนี่เกิดเหตุสลดอันแสนเศร้า ทำให้เธออยู่ในสภาพจิตใจหม่นหมอง แดนี่และคริสเตียนตัดสินใจเดินทางไปร่วมออกทริปฤดูร้อนกับเพื่อนๆ ยังเทศกาลแห่งหนึ่ง ซึ่งจะจัดขึ้นในหมู่บ้านห่างไกลในประเทศสวีเดน ความน่าสนใจและดูเหมือนเป็นเสน่ห์ของงานเทศกาลนี้ คือช่วงเวลาที่เทศกาลนี้ถูกจัดขึ้น พระอาทิตย์จะไม่ตกดินติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ทว่าท่ามกลางความวิเศษของธรรมชาติกลับซ่อนฝันร้ายสุดสะพรึงไว้ เมื่อคนในหมู่บ้านเริ่มประกอบพิธีกรรมท้องถิ่น จนกลายเป็นความน่าสะพรึงเหนือการคาดเดา
จาก Hereditary สู่ Midsommar
หนังสยองขวัญเรื่องดังแห่งปี 2018 ผลงานการกำกับและเขียนบทของ แอริ แอสเตอร์ ที่ว่าด้วยครอบครัวหนึ่งที่มี “กรรมพันธุ์” ที่สืบเชื้อสายของความชั่วร้ายเอาไว้ โดยตลอดทั้งเรื่อง จะเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายและพลิกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เป็นหนังที่กวาดคำชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลามแต่ในขณะเดียวกันหนังเรื่องนี้ยังได้รับความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชมที่แบ่งขั้วอย่างชัดเจน (ชอบมากและเกลียดมาก) ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามความชัดเจนของตัวผู้กำกับอย่าง แอริ แอสเตอร์ เองนั้น ที่เคยเปิดเผยกับสื่อฯ นอกว่า เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ส่งผลให้เขาสร้าง Hereditary ขึ้นมาด้วยการถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเอง ผ่านประเด็นครอบครัวที่เขาเคยรู้สึกปวดร้าวและกลายเป็นปมในชีวิต เช่นเดียวกับ Midsommar ที่เริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมดจากประเด็นในจิตใจของ แดนี่ หลังจากที่เธอต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหนังปรากฏฉากเริ่มต้นของเรื่อง ด้วยการที่เธอต้องรับมือกับน้องสาวของตัวเองที่น่าจะมีปัญหาเรื่องอาการซึมเศร้า แต่อีเมลฉบับล่าสุดที่แดนี่ได้รับกลับสร้างความน่าหวั่นวิตก เมื่อคำลงท้ายของอีเมลเขียนว่า “ลาก่อน”
หลังจากที่ไม่อาจจะติดต่อน้องสาวได้ ทำให้ แดนี่ วิตกหนักกว่าเดิม ลามเลยไปจนถึงการบ่นระบายความตึงเครียดในชีวิตครอบครัวของตัวเองไปให้แฟนหนุ่ม ที่ดูเหมือนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสภาวะของแฟนสาวสักเท่าไหร่นัก จนกระทั่ง แดนี่ ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจว่าครอบครัวของเธอเสียชีวิตยกบ้าน หลังจากน้องสาวของเธอได้ต่อท่อไอเสียรถยนต์เพื่อรมควันตัวเองและพ่อแม่ให้เสียชีวิตไปพร้อมๆ กัน
โลกใบใหม่ของ Midsommar
สำหรับ Midsommar เป็นผลงานเรื่องใหม่ของ แอริ แอสเตอร์ ที่นำเสนอหนังสยองขวัญในแง่มุมใหม่ มีการสร้างสรรค์โลกใบใหม่ขึ้นมา มีการสร้างภาษา ประวัติศาสตร์ ตำนานปรัมปรา และประเพณีของตัวเอง โดยร่วมงานกับนักออกแบบงานสร้าง เฮนริค สเวนสัน ในประเทศฮังการี ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำ โดยทีมงานสร้างหมู่บ้านในประเทศสวีเดนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
จากตัวหนังจะเห็นได้ว่าตัวผู้กำกับแอสเตอร์เอง ได้ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศสวีเดน ประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย อังกฤษ และเยอรมันถึงประเพณีพื้นบ้าน (folklore) ต่างๆ เขาไปขอคำปรึกษาจาก เจมส์ จอร์จ เฟรเซอร์ ผู้เขียนหนังสือมานุษยวิทยา The GoldenBough ซึ่งว่าด้วยลัทธินอกรีตในทั่วทุกมุมโลก และยังศึกษาปรัชญาวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับวิญญาณจากงานค้นคว้าของ รูดอล์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชื่อดังในอดีตด้วย
ประกอบกับการที่ตัวแอสเตอร์เองพบว่า ตัวเองหลงใหลวัฒนธรรมการทรมานอันป่าเถื่อนรุนแรงของชาวไวกิ้ง หลังจากนั้น แอสเตอร์ ก็เริ่มต้นเขียนบท เขาใส่กลุ่มตัวละครชาวอเมริกันสมัยใหม่ลงไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมอันแปลกประหลาด เป็นชุมชนที่จะประกอบพิธีกรรมซึ่งจัดขึ้นเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นในรอบ 1,000 ปี เป็นเทศกาลของชุมชนที่อยู่ห่างไกลทางตอนเหนือของสวีเดน ก่อนที่เขาจะนำแนวคิดดังกล่าวเอามาผสมผสานกับบทภาพยนตร์ของตัวเอง
หลังจากได้เค้าโครงเรื่องที่ว่าด้วยชุมชนประหลาด การหยิบเอาตัวละคร “คนต่างถิ่น” ใส่เข้าไปในเรื่องราว จะทำให้หนังเกิดความขัดแย้งขึ้น เพราะนอกจากประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ที่เริ่มแตกร้าวของแดนนี่และคริสเตียนแล้ว หนังยังใส่เพื่อนของคริสเตียนประกอบด้วย จอช (วิลเลี่ยม แจ็คสัน ฮาร์เปอร์) นักศึกษาปริญญาเอกที่สนใจเรื่องมานุษยวิทยาและตำนานพื้นบ้าน, มาร์ค (วิล โพลเตอร์) เพื่อนจอมถากถางและเชื่อมั่นในตนเองสูง และ เพลล์ (วิลเฮล์ม บลอมเกรน) นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวสวีเดนที่ชวนเพื่อนไปออกทริปช่วงฤดูร้อนยังบ้านบรรพบุรุษของเขา ซึ่งอยู่ห่างไกลผู้คนในแถบสแกนดิเนเวีย
การสำรวจความสัมพันธ์ของมนุษย์
การที่หนังเริ่มต้นมาด้วยความสัมพันธ์ที่ดูกระท่อนกระแท่นของพระนาง ทำให้หนังเริ่มสำรวจตัวละครทั้งสองมากขึ้นทีละเล็กทีน้อย เราจะวิเคราะห์ได้ว่าตัวละครอย่างแดนี่นั้น เป็นผู้หญิงที่ต้องการพึ่งพิงและต้องการที่พักใจอย่างคริสเตียน แต่ดูเหมือนฝ่ายชายเองก็ไม่ได้อยากจะให้แดนี่มา “เกาะติด” เขาอยู่ตลอดเวลา ครั้นจะเลิกรากันไปก็ดูจะเป็นการแล้งน้ำใจจนเกินไป
ระหว่างทางของหนัง เริ่มทำให้เราได้เห็นว่า ถึงแม้เทศกาลประหลาดที่ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับความพิลึกพิลั่นมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตัวแดนี่เองกลับรู้สึก “เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” กับคนในชุมชนนี้ เนื่องจากพวกเขามักจะทำอะไรร่วมกัน รู้สึกร่วมกัน แสดงออกไปในทิศทางเดียวกันอยู่เสมอ ดังนั้นแดนี่จึงรู้สึก “ไม่โดนทอดทิ้ง” ให้อยู่คนเดียวแบบที่เคยรู้สึกมาโดยตลอด ในขณะที่ตัวละครผู้ชายในหนัง Midsommar นั้นเหมือนพวกเขามีอยู่เพียงเพื่อรับหน้าที่ในการเป็นพ่อพันธุ์ หรือกระทั่งมีไว้เพื่อเป็นเหยื่อล่อให้กับ “คนนอก” ที่มีความจำเป็นจะต้องเข้ามาในชุมชนเพียงเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมเท่านั้น
Midsommar จึงเป็นหนังที่น่าจะว่าด้วยการสำรวจความสัมพันธ์ของมนุษย์ ในมุมมองที่แตกต่าง น่าตั้งคำถาม อีกทั้งยังเกี่ยวโยงกับ การสำรวจไปถึงคนที่อาจจะเข้าข่ายป่วยเป็นโรคซึมเศร้าด้วยซ้ำไป