รีวิว 47 Meters Down: Uncaged สี่ดรุณีหนีตายจากฉลาม
โลกแผ่นฟิล์มและฉลามคงจะเป็นสิ่งที่อยู่เคียงคู่กันไปอีกนานแสนนาน เพราะในทุกๆ ปีจะต้องมีหนัง ที่ว่าด้วยฉลามดุร้ายออกอาละวาดโจมตีมนุษย์ออกมาให้ดูกันอยู่เป็นประจำ (ไม่ว่าจะเป็นหนังที่ส่งตรงลงวิดีโอเลย หรือหนังที่ฉายบนจอยักษ์ก็ตาม) เช่นเดียวกันกับภาคต่ออย่าง 47 Meters Down: Uncaged ที่ไม่มีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวพันกับหนังภาคแรกเลยสักนิดเดียว แต่เลือกจะใช้ชื่อเดิมเพื่อเกาะกระแสความสำเร็จของหนังภาคแรก และสร้างโอกาสในการทำรายได้ให้กับหนังภาคถัดมาด้วยนั่นเอง
เหตุการณ์ในภาค Uncaged โฟกัสไปที่กลุ่มตัวละครวัยรุ่นไฮสคูล โดยเฉพาะพี่น้องต่างบิดามารดาอย่าง อย่าง มีอา (โซฟี เนลลิส) ซาช่า (คอรีนน์ ฟ็อกซ์) ที่ดูเหมือนจะยังปรับตัวเข้าหากันไม่ได้ และสำหรับมีอาเองเธอก็มักจะโดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนในโรงเรียนอยู่เสมอ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่พ่อและแม่ของพวกเธอวางแผนให้ทั้งสองไปร่วมขึ้นเรือเพื่อไปดูการให้อาหารฉลามขาวในทะเลเม็กซิโก แต่อเลกซ่า (บรีแอน ทจู) ได้เสนอไอเดียว่า ควรไปว่ายน้ำเล่นกันในทะเลสาบส่วนตัวน่าจะสนุกกว่า อีกทั้งยังชวนอีกหนึ่งเพื่อนซี้อย่างนิโคล (ซิสทีน สตอลโลน) ไปร่วมก๊วนเพื่อนสาวด้วยอีกคน
สี่สาวเดินทางไปยังทะเลสาบห่างไกลผู้คนซึ่งพื้นที่แห่งนี้ พ่อของมีอาได้นำอุปกรณ์สำรวจถ้ำใต้ท้องทะเลเอามาจัดเตรียมเอาไว้รอนักโบราณคดีที่กำลังจะเดินทางมาสำรวจพื้นที่แห่งนี้ในสัปดาห์หน้า แน่นอนว่าอเลกซ่าจึงนำเสนอไอเดีย(อีกแล้ว) ว่า เพื่อนๆควรดำลงไปดูถ้ำใต้ทะเลซึ่งเป็นเมืองของชาวมายันที่หายสาบสูญและจมอยู่ใต้น้ำมาเป็นเวลานาน โดยที่พวกเธอไม่รู้เลยว่าในพื้นที่แคบๆแห่งนี้จะมีฉลามขาวตาบอดที่หลุดมาจากทะเลว่ายเม็กซิโกวนเวียนอยู่ในนั้น ทั้งสี่ต้องเอาตัวรอดจากฉลามและออกซิเจนในการหายใจที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ
ความน่าสนใจของภาค Uncaged น่าจะอยู่ที่การนำเสนอเรื่องการดำน้ำหนีฉลามในเมืองโบราณใต้ท้องทะเล แต่ปัญหาก็คือหนังภาคนี้จัดไฟได้มืดมากจนบางครั้งเราก็มองอะไรไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก อีกทั้งเมื่อดูไปสักระยะหนึ่งเราก็จะจับไต๋ได้ว่า เมืองจำลองแห่งนี้สร้างเอาไว้แค่ห้องเดียว แต่ทำเนียนๆตัดต่อว่าตัวเอกว่ายจากห้องโถงนี้ไปอีกโถงหนึ่งนะ ทั้งที่จริงดูยังไงก็คือห้องเดิมแต่สลับอุปกรณ์ประกอบฉากเอา ส่งผลทำให้ความตื่นเต้นของผู้ชมที่อยากรู้ว่าพื้นที่ลับใต้ทะเลนี้จะมีอะไรเซอร์ไพรส์ลดลงอย่างฮวบฮาบ ยังไม่รวมไปถึงตัวฉลามเองที่คนดูก็น่าจะสามารถคาดเดาจังหวะการโผล่มา “หลอก” ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ความสมเหตุสมผลของหนังยิ่งไม่ต้องถามถึง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการหายใจเพื่อใช้ออกซิเจนของตัวละครเอกในเรื่องที่ดูน่าจะขาดใจตายกันตั้งแต่ 40 นาทีแรกของหนัง (หายใจไวกันขนาดนั้นออกซิเจนหมดไปนานแล้วเธอจ๋า) กระแสน้ำวนใต้ทะเลลึก (มาจากไหนเหรอ) ทีมงานดำน้ำจัดอุปกรณ์ครบทุกอย่างแต่ลืมตีนกบ (ได้เหรอ) หรือสารพัดเหตุผลที่พอเราคิดตามแล้วก็จะได้แต่คำถามที่ผุดงอกออกมาไม่รู้จบ
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูเอาแบบสมองว่างๆไม่คิดอะไรเยอะ 47 Meters Down: Uncaged ก็ถือเป็นหนังสไตล์เกรดบีที่พอฆ่าเวลาได้ ทว่าเมื่อนำไปเทียบกับหนังภาคแรก ที่ดู “ทำน้อย” แต่ “ได้มาก” กว่าการถมโปรดักชั่นที่ใหญ่โตขึ้นแต่กลับสนุกน้อยกว่าที่เราคาดหวังเอาไว้เยอะเลยทีเดียว