It 2 เมื่อ “มัน” กลับมาทวงแค้น
ผลงานหนังสยองขวัญภาคต่อที่ฮิตระดับปรากฏการณ์ หลังจากที่ It ภาคแรกเข้าฉายในปี 2017 และได้รับคำชื่นชมจากทั้งคนดูและนักวิจารณ์ จนสามารถทำรายได้ทั่วโลกสูงกว่า 700 ล้านเหรียญฯ การกลับมาครั้งนี้จึงกลายเป็นการสานต่อความสยองอันนำไปสู่บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด
27 ปีของพวก “ขี้แพ้”
เวลาที่ผ่านไปถึง 27 ปีหลังจากที่กลุ่มพวกขี้แพ้ได้สยบเพนนีไวส์ เขากลับมายังเมืองเดอร์รีอีกครั้ง ตอนนี้พวกขี้แพ้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ หลังจากที่แยกย้ายกันไปเป็นเวลานาน ผู้คนในเมืองเริ่มหายตัวไปอีกครั้ง ไมค์เป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ไม่เคยจากเมืองนี้ไปไหนจึงเรียกทุกคนกลับบ้าน ทุกคนต่างมีบาดแผลจากอดีตต่างต้องช่วยกันเอาชนะความกลัวที่ฝังลึกในตัว เพื่อทำลายเพนนีไวส์อีกครั้งและตลอดไป ซึ่งตอนนี้ “มัน” ได้กลายเป็นตัวตลกแปลงร่างได้ และยังทวีความโหดร้ายมากกว่าเดิม
ความชั่วร้ายที่ยังลอยนวล
ในตอนจบของ It ในปี 2017 ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายสยองขวัญของสตีเฟน คิง กลุ่มพวกขี้แพ้นั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องสว่าง หลังจากที่พวกเขาเอาชนะเพนนีไวซ์ในท่อระบายน้ำด้านล่างได้ เขาคือความชั่วร้ายในเดอร์รีที่เกือบทำลายล้างเมือง พวกเขากล่าวคำปฏิญาณเอาไว้ว่าจะกลับมาหากความพยายามทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายนี้ไม่สำเร็จ
27 ปีผ่านไปเพนนี ไวซ์ก็กลับมา (ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง เวลาผ่านไปแค่ 2 ปีเท่านั้น) ทันทีที่หนังภาคแรกจบ แฟนหนังก็แทบจะเรียกร้องเลยด้วยซ้ำไปว่าอยากจะให้นักแสดงผู้ใหญ่คนไหนมารับบทเป็นตัวละครเด็กตอนโต ด้วยกระแสความสำเร็จในวงกว้างทำให้ผู้กำกับแอนดี้ มุสเชียตติ จากภาคแรกที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าหนังทั้งสองภาคนี้จะถ่ายทอดออกมาตามตัวนิยายต้นฉบับของสตีเฟ่น คิง
สานต่อเรื่องราวที่ยังคงค้างคาใจ
สำหรับแกรี่ ดาวเบอร์แมน ผู้เขียนบทฯ ทั้ง “IT” และ “IT Chapter Two” รวมไปถึงทีมงานทั้งบาร์บารา มุสเชียตติ ต่างได้แลกเปลี่ยนความคิดในการนำเสนอผลงานเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา จากตัวนวนิยายที่มีความยาวกว่า 1,100 หน้า หนังภาคแรกได้เล่าเรื่องราวไปแล้วราว 300 หน้า เหตุการณ์ในหนังภาค 2 นี้เรื่องราวจะยิ่งใหญ่มากขึ้น และตัวละครจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เนื่องจากหนังจะเล่าทั้งตัวละครในวัยเด็กและผู้ใหญ่ มีการเจาะลึกมากขึ้น เพิ่มความสนุกยิ่งขึ้น น่ากลัวและเลือดสาดมากขึ้น โดยบทภาพยนตร์ในหนังภาคนี้ไม่ใช่แค่การรวมเรื่องราวที่ไม่ได้เล่าเอาไว้ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 1989 ซึ่งสะท้อนถึงเรื่องราวในอดีตของผู้ใหญ่ในปัจจุบัน แต่ยังมีการเติมเต็มความทรงจำที่พวกผู้ใหญ่ขี้แพ้เคยมีร่วมกันด้วย
สำหรับตัวผู้เขียนอย่างสตีเฟ่น คิงที่มีโอกาสชมภาพยนตร์ภาคแรก เขากล่าวว่า “ผมตั้งความหวังไว้กับหนังเรื่องนี้ แต่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่า ‘IT’ จะดีขนาดนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้หนังภาคที่ 2 คือตอนที่ภาคแรกจบลงพร้อมกับมีตัวหนังสือโผล่ขึ้นมาว่า ‘IT ตอนที่ 1’ แล้วผู้ชมพากันปรบมือ พวกเขาอยากดูมันอีก ตอนนี้จะเป็นเรื่องราวส่วนที่เหลือ นี่ไม่ใช่หนังภาคต่อแต่เป็นครึ่งหลังจากเรื่องราวที่ยังเล่าไม่จบต่างหาก”
ทีมผู้สร้างยังต้องการที่จะรักษาประเด็นสำคัญในหนังเอาไว้เช่นเคย โดยเฉพาะเรื่องความเป็นไปของเมืองเดอร์รีที่แย่กว่า 27 ปีที่แล้ว อย่างที่ผู้ชมได้รับรู้หลังจากหนังภาคแรกที่ เต็มไปด้วยความดันทุรังของผู้คน ความเกลียดชัง ความโหดเหี้ยมที่ตามติดไปยังทุกหนแห่ง โดยที่ตัวละครไม่ทันรู้ตัว ถึงแม้บรรดาตัวละครจะเดินทางออกจากเดอร์รีไป แต่ความทรงจำไม่เคยเลือนรางไปไหน ถ้าหากพวกเขายังใช้ชีวิตอยู่ ชีวิตและจิตวิญญาณของพวกเขาก็จะโดนกัดกินไปเรื่อยๆ เกิดเรื่องเลวร้ายอยู่เรื่อยๆ เพียงแค่ พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นมันนั่นเอง
เมืองเดอร์รีแห่งนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย เหตุการณ์ในตอนท้ายของหนังภาคแรกเป็นความตั้งใจของ “เพนนีไวส์” แม้ว่า 27 ปีแห่งการหลับใหลไป แต่จริงๆแล้วมันคือการครอบงำเมืองแห่งนี้ในอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อพวกขี้แพ้ได้เดินทางกลับมายังเมืองแห่งนี้ เพนนีไวส์จึงยิ่งอยากจะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก เพราะเขารู้ดีว่า บรรดาเด็กๆที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่กลุ่มนี้คือเสี้ยนหนามในการครอบงำเมืองเดอร์รี่อย่างเต็มตัว
การเติบโตและความเป็นเด็กที่หล่นหายไป
ในหนังภาคแรกกลุ่มขี้แพ้ เป็นเด็กๆที่เต็มไปด้วยความใสซื่อและไม่ต่างอะไรจากผ้าขาว จนเวลาได้ผ่านเลยไปกว่า 27 ตัวละครเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยบาดแผลฝังลึกในจิตใจ ถึงแม้ว่าชีวิตปัจจุบันพวกเขาจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการใช้ชีวิต จนเมื่อกระทั่งวันหนึ่งที่ไมค์ได้ติดต่อให้ทุกคน “กลับบ้าน” ปฏิกิริยาตอบสนองของตัวละครแต่ละคน จึงแสดงออกแตกต่างกันไป
ศรัทธาในช่วงเวลาที่พวกเขาเป็นเด็ก ทำให้ตัวละครผู้ใหญ่เกิดความลังเล ลังเลที่จะทิ้งชีวิตที่กำลังไปได้สวยและกลับไปเผชิญหน้ากับความเลวร้ายที่พวกเขามองไม่เห็น แต่พวกเขามองว่าถ้าหากพวกเขาไร้ศรัทธาแล้ว ชีวิตของพวกเขาคงไม่รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ก็เป็นได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นอีกครั้งในการกลับไปต่อกรกับ “เพนนีไวส์”