รวม 13 อีสเตอร์เอ้กหนาวสันหลังจากหนัง IT Chapter 2 สำหรับคนที่ดูมาแล้ว
หนังสยองภาค 2 อันเป็นตอนจบของเรื่องราว ดัดแปลงจากนิยายขึ้นหิ้งของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ราชาสยองขวัญแห่งยุค กลายเป็นหนังที่ฮือฮาและเป็นกระแสสุด ๆ ในขณะนี้ บางคนดูเอาสนุกแต่บางคนก็ดูเอาแฟนออฟเดอะเยียร์ด้วยการเก็บรายละเอียดทุกเม็ดในหนัง ซึ่งผู้สร้างก็ซ่อนซุกไว้หลายจุดสำหรับคนหนังแนวฮาร์ดคอร์นี่เอง ว่าแต่จะมีอะไรบ้าง วันนี้เรารวบรวมมาให้แล้ว ไปดูกัน
“โคตรเยอะ ถ้าคุณสังเกต มันมีอีสเตอร์เอ้กซ่อนอยู่ทุกจุดในหนังภาคนี้เลย” – แอนดี้ มุสชีเอตติ (Andy Muschietti) ผู้กำกับหนัง IT ทั้งสองภาคกล่าวท้าทายแฟนพันธุ์ตาสัปปะรด
1. สตีเฟน คิง
สำหรับแฟนหนังแฟนนิยายของ คิง ต้องไม่พลาดฉากที่คิงมาเล่นบทรับเชิญนี้แน่ ๆ เพราะเป็นอีสเตอร์เอ้กที่ใหญ่ค่อด ๆ ยากจะมองหาไม่เจอ เว้นเสียแต่ว่าคุณไม่รู้จักคิงเท่านั้นล่ะ (ฮา) ในฉากนี้คิงปรากฏตัวเป็นเจ้าของร้านของเก่าที่ บิล (เจมส์ แม็คอะวอย James McAvoy) ได้บังเอิญพบจักรยานคันเก่าสมัยเด็ก บิลขอซื้อจักรยานแต่ถูกคิงโก่งราคาเพราะจำได้ว่าบิลเป็นนักเขียนแนวสยองขวัญชื่อดังที่น่าจะมีตังค์เยอะนั่นเอง เรียกว่าคิงได้ล้อตัวเองเลยด้วย สงสัยแกน่าจะโดนโก่งราคาบ่อยเพราะเป็นคนดัง (ฮา)
ในฉากนี้บิลขี่จักรยานออกไปพร้อมตะโกนก้องว่า ‘ไฮ โฮ ซิลเวอร์ อะเวย์’ ซึ่งเป็นคำฮิตติดปากจากหนังดังในยุคทศวรรษ 1950-1960 อย่าง Lone Ranger ซึ่งเป็นไอคอนของคาวบอยโอลด์เวสต์อเมริกันเลยทีเดียว เขามักควบม้าคู่ใจออกไปพร้อมตะโกนคำนี้เสมอ ก็เป็นอีกอีสเตอร์เอ้กที่อยู่ในฉากต่อเนื่องของคิงนี้ด้วย
2. ตอนจบห่วย
ในฉากร้านของเก่านี้ยังมีอีกจุดสำคัญ ตอนที่บิลสังเกตเห็นว่าเจ้าของร้านอ่านหนังสือนิยายของเขาด้วย จึงเอ่ยปากจะให้ลายเซ็นถ้าเจ้าของร้านต้องการ แต่เจ้าของร้านปฏิเสธหน้าตาเฉย เพราะไม่ชอบตอนจบในหนังสือของบิล นี่กลายเป็นมุกตลกที่เสียดสีตัวคิงเองด้วย เพราะแกมักถูกวิจารณ์ถึงตอนจบที่ไม่ค่อยดีนักในผลงานของแก โดยเฉพาะในนิยาย It ส่วนที่ 3 ที่เป็นตอนจบของเรื่อง ตัวละครบิลก็เป็นเหมือนภาพตัวแทนของคิง ที่ทุกคนในเรื่องแม้แต่เพื่อนรักของบิลยังบอกว่า ‘ฉันไม่ชอบตอนจบของหนังสือของนายเลย’ น่าฉงฉานจริง ๆ (ฮา)
พูดถึงตอนจบแล้ว ก็ขอแถมอีกหน่อย ในหนังภาคนี้ยังมีตอนจบที่ต่างจากฉบับนิยายพอสมควรด้วย โดยในนิยายได้แสดงให้เห็นว่าเพนนีไวส์นั้นคือฐานของเมืองเดอร์รี่ หากพวกแก๊งขี้แพ้ฆ่าเพนนีไวส์ไปเมืองทั้งเมืองก็จะสิ้นสูญไปด้วย โดยแม้หนังจะไม่ได้เล่าใหญ่เท่าในนิยายแต่ก็จำลองเอาส่วนหนึ่งแห่งความพินาศมาแสดงให้ดูในฉากที่บ้านของเพนนีไวส์ถล่มลงสู่ใต้ดินในตอนจบนั่นเอง
3. แขกรับเชิญอื่นอีกล่ะ
นอกจาก คิง จะมารับเชิญแล้ว ยังมีผู้กำกับหนังดังหลายคนมาแจมรับเชิญในหนัง คนแรกก็ แอนดี้ มุสชีเอตติ อีตาผู้กำกับหนังเรื่องนี้เองนี่ล่ะ ที่มาเล่นเป็นลูกค้าในร้านขายยา ในฉากที่ เอ็ดดี้ (เจมส์ แรนซัน James Ransone) ต้องมาเผชิญอดีตของตนเอง คงต้องเป็นแฟนหนังฉบับนี้จริง ๆ ถึงจะสังเกตเห็นคุณผู้กำกับนี่ล่ะนะ
อีกหนึ่งผู้กำกับที่แฟนหนังชาวไทยยุคนี้ (หรืออาจเทศด้วย) ไม่น่ารู้จัก แต่มาปรากฏตัวก็คือ ปีเตอร์ บ็อกดาโนวิช (Peter Bogdanovich) เจ้าของผลงาน 2 รางวัลออสการ์จากหนัง The Last Picture Show (1971) ซึ่งก่อนหน้านี้บางคนอาจคุ้นหน้าตอนหนุ่มของเขาจากหนังเน็ตฟลิกซ์ของผู้กำกับในตำนาน ออร์สัน เวลส์ อย่าง The Other Side of the Wind (2018) ด้วย และสำหรับในหนังเรื่อง IT Chapter 2 นี้ บ็อกดาโนวิชก็คือผู้กำกับหนังที่อยู่ในฉากที่บิลเดินเข้ามาในกองถ่าย แล้วบ็อกดาโนวิชก็นั่งเครนลงมาคุยกับบิลว่า ‘หนังต้องการตอนจบนะบิล’ ซึ่งเปิดประเด็นว่าบิลมีปัญหากับการเขียนตอนจบของหนัง แบบเดียวกับที่เขาเขียนหนังสือจบห่วยนั่นเอง
และสุดท้ายที่ต้องพูดถึงก็คือ แบรนดอน เครน (Brandon Crane) ที่มาแสดงเป็นนักธุรกิจที่อยู่ในห้องประชุมทางไกล ในฉากเปิดตัวของ เบน (เจย์ ไรอัน Jay Ryan) และตาเครนนี่ล่ะก็คือนักแสดงที่เล่นเป็นเบนตอนเด็ก ในฉบับมินิซีรีส์โทรทัศน์ของ IT เมื่อปี 1990 นั่นเอง ทีมงานนี่ก็สร้างก็ช่างสรรหามาคามิโอนะ
4. มตูริน
หืม คือไรนะ? แต่แฟนนิยายของคิงคงเก็ตล่ะ เพราะในจักรวาลของหนังสือคิง จากเรื่อง The Dark Tower ของคิงก็มีการอ้างถึงเต่าผู้พิทักษ์ตนหนึ่งนามว่า มตูริน (Maturin) ผู้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 12 ตนที่คุ้มครองเส้นแสงค้ำจุนหอคอยไว้ และเจ้ามตูรินนี่เองก็เป็นดั่งเทพขั้วตรงข้ามกับปีศาจตัวตลกเพนนีไวส์ด้วย ในนิยายช่วงเด็ก บิล ได้ประกอบพิธีกรรมแห่งชู้ดเพื่อปราบเพนนีไวส์ และได้พบกับมตูรินนี่เอง
โดยในหนังภาคนี้ก็มีฉากที่เบนกลับไปยังโรงเรียนเพื่อค้นหาอดีตของตน ซึ่งจะเห็นโมเดลเต่าเป็นอีสเตอร์เอ้กถึงมตูรินนี้ด้วย ในฉบับตัดต่อเดิมนั้นจะมีแากเกี่ยวกับเต่าที่ใหญ่กว่านี้แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายทีมงานก็เลือกจะตัดออกไป แต่ทั้งนี้ตัวผู้กำกับก็ใบ้ว่าเราอาจได้เห็นฉากเต่านี้ในหนังฉบับเพิ่มฉากที่อาจออกมาในรูปแบบแผ่นภายหลังก็ได้นะ
5. มินิซีรีส์ IT ปี 1990
นอกจากการมารับเชิญของเครนแล้ว หนังภาคนี้ยังคารวะผลงานมินิซีรีส์ปี 1990 ของ ทิม เคอรร์รี่ (Tim Curry) อีกหลายอย่าง เช่น ในฉากที่บิลไล่ตามเด็กชายที่กำลังตกเป็นเหยื่อของเพนนีไวส์ไปในบ้านกระจกเงาในสวนสนุก เขาต้องวิ่งผ่านตุ๊กตาตัวตลกที่แกว่งไปมา และพวกตุ๊กตานี้เองก็แต่งชุดแบบเดียวกับเพนนีไวส์จากฉบับมินิซีรีส์นั้นด้วย
6. ชายผู้แต่งงานกับแม่ตัวเอง
อันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ ในหนังหรอก แต่เรากำลังพูดถึงเอ็ดดี้ ตัวละครที่อยู่ใต้อิทธิพลของแม่ในวัยเด็กจนโตมาก็ยังอยู่ในสายตาแม่ของเขาตลอดเวลา การหนีไม่พ้นภาพเงาแม่ของเขาเองนี้ ยังสะท้อนมาในการเลือกคู่ด้วย เพราะภรรยาของเอ็ดดี้อย่าง ไมร่า นั้นมีรูปร่างลักษณะเหมือนแม่ของเอ็ดดี้ในหนังภาคแรกไม่มีผิดเพี้ยน และถ้าคุ้นรู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก ใช่แล้วครับ นักแสดงที่เล่นเป็นไมร่าภรรยาของเอ็ดดี้ในหนังภาคนี้ และแม่ของเอ็ดดี้ในหนังภาคแรกคือนักแสดงคนเดียวกัน นั่นคือ มอลลี่ แอตคินสัน (Molly Atkinson) นั่นเอง ทีมงานนี่เขาใส่ใจรายละเอียดดีเหลือเกินนะ
7. นักเขียนนิยายสยองแห่งยุคอีกคนหนึ่งนอกจาก คิง
ในยุคเดียวกับคิง ยังมีนักเขียนนิยายสยองอีกคนที่โด่งดังไม่แพ้กัน เขาคือ ดีน คุนต์ส (Dean Koontz) ทั้งคู่เหมือนคู่แข่งที่มีชื่อเสียงในวงการเดียวกัน ในโมงยามเดียวกัน แม้แท้จริงแล้วทั้งคู่ก็ไม่ใช่อริกันเลยไม่ค่อยพูดถึงกันในทางไม่ดีด้วยซ้ำ แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่คิงนำคุนต์สมาใส่ในหนังสือของเขาราวปี 1980-1985 นั่นก็คือเรื่อง IT นี่เอง โดยในนิยายตัวละคร เฮนรี่ โบเวอร์ส (ทีช แกรนต์ Teach Grant) ที่อยู่ในโรงพยาบาลบ้า ถูกเฝ้าดูโดยตัวละครที่ชื่อ จอห์น คุนต์ส ด้วย
และในหนังภาคนี้ ตัวละคร จอห์น คุนต์ส ก็ถูกนำมาใส่ในหนังแบบที่ต้องแฟนตัวจริงเท่านั้นถึงจะรู้ โดยในฉากที่โบเวอร์สจะหนีจากโรงพยาบาลบ้า มี รปภ. ที่เฝ้ากะดึกกำลังดูคลิปสุนัขจากมือถืออยู่ และเขาคนนี้นี่ล่ะคือคุนต์ส เพราะแฟน ๆ ของดีน คุนต์ส ต่างรู้ดีว่าเขาเป็นคนรักน้องหมามากคนหนึ่งเลยทีเดียว
8. แมงมุม
ในฉากที่แก๊งขี้แพ้ได้กลับไปยังบ้านของเพนนีไวส์ เหล่าตัวละครอย่าง ริชชี่ (บิล เฮเดอร์ Bill Hader) เอ็ดดี้ และ บิล ต้องเผชิญกับศพของเพื่อนรักที่ฆ่าตัวตายไปก่อนอย่าง สแตน (แอนดี้ บีน Andy Bean) ที่หัวหลุดออกมาแล้วมีขาของแมลงแทงออกมาจากหัว ดูคล้ายแมงมุมหัวมนุษย์ (ฉากนี้หลอนครีเอทมาก) เป็นฉากที่อ้างอิงไปฉากคล้ายกันในหนัง The Thing (1982) ของผู้กำกับ จอห์น คาร์เพนเตอร์ (John Carpenter) ซึ่งริชชี่เองเห็นหัวแมงมุมก็ได้สบถคำเดียวกับตัวละครในหนัง The Thing ด้วยไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า ‘เชี่ยมึงต้องอำกูเล่นแน่ ๆ’
นอกจากนั้นหนัง The Thing ยังถูกอ้างถึงอีกครั้งในฉากที่ริชชี่กับเอ็ดดี้ต้องเลือกประตูแห่งความกลัว ซึ่งน้องหมาในฉากนี้มีรูปลักษณะคล้ายน้องหมากลายพันธุ์ในหนัง The Thing ด้วยนั่นเอง
ส่วนแมงมุมนั้น ยังคงเป็นกิมมิกที่หนัง IT ใช้ในฉากสำคัญ ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นร่างสุดท้ายของเพนนีไวส์ที่คล้ายแมงมุมยักษ์ และในฉบับนิยายก็มีฉากที่เบนเผชิญกับความกลัวแมงมุมที่วางไข่มากมายที่กำลังฟักตัว และเขาต้องทำลายให้หมด ซึ่งในหนังภาคนี้ก็เป็นเบนนี่เองที่มาทำลายหัวแมงมุมของสแตนในที่สุด
9. ประตูแห่งความกลัวภาคต่อ
ในฉากที่ริชชี่และเอ็ดดี้ต้องเลือกประตูแห่งความกลัวนั้น ในหนังภาคแรกเมื่อปี 2017 เป็นตัวละครริชชี่กับบิลวัยเด็กที่ต้องเผชิญกับประตูแห่งความกลัว และครั้งนั้นเป็นริชชี่ที่เลือก ‘ประตูที่ไม่น่ากลัวอะไรเลย’ แล้วได้เจอกับศพของเด็กหญิงเบ็ตตี้ ริปสัน ที่มีแค่ครึ่งท่อนบนห้อยอยู่ ในตอนนั้นริชชี่สบถเสียงดังอย่างหวาดกลัวว่า ‘เชี่ยเอ้ยขาเธอหาไปไหน’ และในภาคนี้เมื่อริชชี่ตอนโตเลือกเปิด ‘ประตูที่น่ากลัวสัส ๆ’ เขาก็ได้เห็นท่อนล่างของเบ็ตตี้ที่หายไปวิ่งมาหาเขาแทน เรียกว่ามาตอบคำถามของริชชี่ตอนเด็กเป๊ะเลย น่ากลัวเกิ้น
10. จอห์นนี่อยู่นี่แล้ว!
หนึ่งในอีสเตอร์เอ้กที่แฟนหนังสยองน่าจะหาเจอง่าย ๆ อีกฉาก ก็คือฉากที่ เบฟ (เจสสิก้า แชสเทน Jessica Chastain) ถูกโยนไปในภาพหลอนที่เธอถูกขังในห้องน้ำโรงเรียน และโดนใครต่อใครพยายามบุกทำลายประตูเข้ามาทำร้ายเธอ ไม่ว่าจะเป็นสามีจอมโหดของเบฟ พ่อของเธอในวัยเด็ก หรืออีกหนึ่งตัวละครสำคัญอย่างอดีตศัตรูตัวฉกาจของแก๊งขี้แพ้อย่าง เฮนรี โบเวอร์ส ซึ่งก็พยายามแหวกหน้าผ่านช่องประตูมาพร้อมประโยคสุดคลาสสิกอย่าง ‘Here’s Johnny!’ ที่สื่อประมาณว่า ขอเชิญพบกับจอห์นนี่ เพราะมันคือประโยคเปิดรายการฮิตหลายยุคของอเมริกาอย่าง The Tonight Show Starring Johnny Carson (ออกอากาศยาวนานตั้งแต่ปี 1962 – 1992) ที่จะเปิดตัวพิธีกรของรายการ และถูกนำมาใช้ในหนังระดับมาสเตอร์พีซเรื่อง The Shining ผลงานดัดแปลงนิยายของคิงจากฝีมือผู้กำกับ สแตนลีย์ คูบริก (Stanley Kubrick) ที่ แจ็ก นิโคลสัน (Jack Nicholson) ใช้พูดในฉากขวานจามประตูสุดคลาสสิกนั่นเอง
11. เพื่อนไม่มีวันตาย
ในฉากสุดท้ายของหนัง บิลกำลังเขียนหนังสือหลังผ่านเรื่องราวทั้งหมดมา ซึ่งประโยคที่เขาเขียนนั้นก็คือ ‘บางที นั่นอาจจะมีแค่เพื่อนกัน’ โดยเป็นประโยคที่ตัดตอนจากนิยาย ในช่วงห้วงความคิดของเอ็ดดี้ที่จริงแล้วกล่าวไว้เต็ม ๆ ว่า ‘บางทีมันอาจไม่มีทั้งเพื่อนที่ดีหรือเพื่อนที่เลว – บางทีมันอาจจะมีแค่เพื่อนกัน เพื่อนที่จะอยู่ข้างคุณยามที่คุณเจ็บและเขาพร้อมจะช่วยให้คุณไม่รู้สึกเดียวดาย บางทีมันก็คุ้มที่เราต้องเผชิญความกลัว เผชิญความหวัง และมีชีวิตต่อไป บางทีก็อาจคุ้มที่จะตายเพื่อมันด้วยหากจำเป็น ไม่มีเพื่อนที่ดีหรอก เพื่อนที่เลวก็เช่นกัน มันมีแค่คนที่คุณอยากจะอยู่ด้วย ผู้คนที่จะอาศัยอยู่ในหัวใจของเราเท่านั้นเอง’
อย่างซึ้งเลย และหนังภาคนี้ก็มีฉากจบที่เล่าผ่านจดหมายที่สแตนเขียนทิ้งไว้ให้เพื่อนทุกคน ซึ่งก็เป็นอะไรที่ซึ้งใจในมิตรภาพและเห็นมิติความคิดคำนึงของตัวละครสำคัญ ว่าที่จริงแล้วเพื่อนไม่เคยทิ้งกัน และบางทีคนที่ขี้ขลาดก็อาจกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อเพื่อเพื่อน ๆ ของเขา เรียกว่าซึ้งไม่แพ้กันเลยทีเดียว
12. หนังสือของไมค์
ในหนังภาคนี้ ไมค์ (ไอเซห์ มุสตาฟา Isaiah Mustafa) เป็นตัวละครเดียวในกลุ่มขี้แพ้ ที่ยังคงอาศัยอยู่ในเมืองเดอร์รีตลอดระยะเวลา 27 ปี และเขาก็ไม่เคยลืมเรื่องของเพนนีไวส์เลย โดยตลอดมานั้นเขาได้ทำการสืบหาตำนานเรื่องเล่าและข้อมูลทุกอย่างเพื่อเอาชนะเพนนีไวส์ให้ได้อีกครั้ง และหนังสืออ้างอิงที่เขาใช้ก็คือ A History of Old Derry หรือ ประวัติศาสตร์ของเมืองเดอร์รีโบราณ ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดย แบรนสัน บัดดิงเจอร์ ตัวละครสำคัญในนิยาย IT ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ไว้ด้วยนั่นเอง
13. ตัวเลข 27
ในนิยาย เพนนีไวส์ จะกลับมาล่าเด็ก ๆ ในทุก ๆ รอบ 27 ปี และเลข 27 นี้ก็มีความสำคัญมาก ถึงขนาดที่ผู้สร้างหนังฉบับนี้เอามาใช้เป็นอีสเตอร์เอ้กผ่านการออกฉายที่ต้องสังเกตกันดี ๆ เลย เพราะหนังภาคแรกก็ปล่อยมาในปี 2017 เป็นเวลา 27 ปีหลังจากฉบับมินิซีรีส์ปี 1990 พอดี และหนังภาคแรกก็ออกฉายในวันที่ 8 กันยายน 2017 ซึ่งถ้าแตกเลขออกมาก็จะได้ว่า 8/9/2017 และเมื่อนำเลขแต่ละตัวมาบวกกันก็จะได้ 8+9+2+0+1+7 = 27 พอดีด้วย และถ้าคิดว่าบังเอิญล่ะก็ หนังภาคนี้ก็ออกฉายวันที่ 6 กันยายน 2019 หรือก็คือ 6+9+2+0+1+9 = 27 อีกเช่นกัน ดูดิพิถีพิถันกับอีสเตอร์เอ้กเข้าขั้นโรคจิตกันเลยทีเดียวนะเนี่ย บรื๋อ!