Face/Off รีเมคและ Tomb Raider ภาคต่อมาแน่

Face/Off รีเมคและ Tomb Raider ภาคต่อมาแน่

Face/Off รีเมคและ Tomb Raider ภาคต่อมาแน่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถือเป็นยุคสมัยแห่งการรีเมคอย่างแท้จริง เพราะล่าสุด สตูดิโออย่างพาราเมาท์ได้ตัดสินใจหยิบเอาหนังแอ็คชั่นเรื่องดังในอดีตอย่าง Face/Off ผลงานการกำกับของ “จอห์น วู” ในปี 1997 กลับมาพัฒนาอีกครั้ง

ตามรายงานของสตูดิโอพาราเมาท์ จะรีเมคหนังเรื่องนี้โดยเฟ้นหานักแสดงนำคู่ใหม่ที่จะมาสลับหน้ากัน นอกจากนี้หนังจะยังได้มือเขียนบทอย่าง โอเรน ยูซีล จาก 22 Jump Street และ Sonic the Hedgehog มาพัฒนาเรื่องราวครั้งใหม่

สำหรับเรื่องราวของ Face/Off ในเวอร์ชั่นปี 1997 นั้นบอกเล่าเรื่องราวของฌอน อาร์เชอร์ (จอห์น ทราโวต้า) เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ที่ตัดสินใจผ่าตัดเอาใบหน้าของ แคสเตอร์ ทรอย (นิโคลัส เคจ) อาชญากรคู่ปรับตัวร้ายที่อยู่สภาพโคม่าปางตาย โดยแผนการของฌอนคือการปลอมตัวเพื่อแทรกซึมเข้าไปอยู่ในฝ่ายผู้ก่อการร้าย เพื่อทำลายแผนการชั่ว แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อแคสเตอร์เองกลับฟื้นคืนสติขึ้นมาและตัดสินใจที่จะขโมยใบหน้าของฌอนไปใช้เพื่อแทรกซึมเข้าไปอยู่ในฝ่ายของเอฟบีไอ อีกทั้งแทรกตัวเข้าไปทำความรู้จักกับคนในครอบครัวของฌอน เหตุการณ์ทั้งหมดจึงนำมาซึ่งความขัดแย้ง วุ่นวาย จนนำไปสู่สถานการณ์เลวร้าย ที่ฌอนต้องหาทางยุติปัญหาทั้งหมดและปกป้องคนที่เขารักจากน้ำมือของแคสเตอร์ ทรอย

Face/Off ในเวอร์ชั่นปี 1997 เรียกได้ว่าเป็นหนัง “ภาพจำ” ของแฟนหนังแอ็คชั่นในยุค 90 อย่างแท้จริง อีกทั้งยังถือเป็นผลงานของผู้กำกับ “จอห์น วู” ที่โกอินเตอร์ไปกำกับหนังฮอลลีวูดในแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆไม่จะเป็นสภาพสโลว์โมชั่น นกพิราบ รวมไปถึงตัวละครถือปืนสองมือ ตัวละครผู้หญิงในหนังไม่ได้เป็นแค่เพียงไม้ประดับหรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่พวกเธอมีกึ๋นในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันได้ จุดเด่นประการถัดมาคือการแสดงของสองดารานำทั้งจอห์น ทราโวต้า และ นิโคลัส เคจ ที่ต่างสนุกกับการพลิกบทบาทสลับขั้ว มีการชิงไหวชิงพริบ แสดงฉากดราม่าเน้นการแสดงเข้มข้น จึงทำให้หนังเรื่องนี้จัดเป็นหนึ่งในหนังแอ็คชั่นที่หยิบมาดูซ้ำก็ยังสนุกอยู่จนถึงทุกวันนี้

คงต้องรอข่าวคราวอัพเดทกันต่อไปว่า ทีมนักแสดงชุดใหม่จะเป็นใคร จะมีการเปลี่ยนแปลง “เพศ” ของนักแสดงนำให้กลายเป็นผู้หญิงหรือไม่ เส้นเรื่องจะมีการเพิ่มรายละเอียดตรงไหนเข้าไปหรือเปล่า น่าจะได้ทราบรายละเอียดกันในอีกไม่ช้า

 

Tomb Raider ภาคต่อมาแน่นอน

แม้ว่า Tomb Raider ในเวอร์ชั่นรีเมคที่นำแสดงโดยสาวอลิเซีย วิแกนเดอร์ ในปี 2018 จะไม่ประสบความสำเร็จในประเทศอเมริกาสักเท่าไหร่ เนื่องจากเมื่อสิ้นสุดการฉาย หนังสามารถทำรายได้ในบ้านเกิดไปแค่เพียง 58 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาจากตลาดต่างประเทศแล้ว หนังทำรายได้นอกสหรัฐไปถึง 216 ล้านเหรียญฯ ส่งผลให้หนังเรื่องนี้สามารถทำรายได้ทั่วโลกไปทั้งสิ้น 274 ล้านเหรียญฯ จากต้นทุนในการสร้างที่ 94 ล้านเหรียญฯ

ผลงานหนังภาคแรกเป็นผลงานการกำกับของรอร์ อูธัก บอกเล่าเรื่องราวที่อ้างอิงมาจากตัวเกมในเวอร์ชั่นปี 2013 เป็นหลัก ลาร่า ครอฟต์ เป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีลอร์ด ริชาร์ด ครอฟท์ (โดมินิด เวสต์) ผู้มีธุรกิจระดับพันล้าน แต่อีกด้านหนึ่งของเขา คือริชาร์ดรักในการผจญภัยตามหาขุมทรัพย์ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งลูกสาวเอาไว้เบื้องหลัง

ลาร่าในวัย 21 ปี เธอกลายเป็นเด็กวัยรุ่นหัวขบถที่ชอบกิจกรรมต่อยมวย ปั่นจักรยานผาดโผน ยิงธนู เธอกลายเป็นคนปฏิเสธความร่ำรวยที่เธอเติบโตมาและพยายามจะยืนอยู่บนลำแข็งของตัวเอง เธอหันหลังให้บริษัทของพ่อ เพราะเธอไม่อยากจะเซ็นพินัยกรรมว่าพ่อของเธอนั้นได้ตายจากไปแล้ว

จนกระทั่งเหตุการณ์ต่างๆได้บีบให้เธอต้องยอรับในตัวพินัยกรรม ก่อนเธอจะได้พบเบาะแสอันนำไปสู่การตายของพ่อเธอ หลังจากปลายทางสุดท้ายที่ริชาร์ดได้เดินทางไปยัง “หลุมศพของฮิมิโกะ” สุสานในตำนานลึกลับที่อยู่บนเกาะสักแห่งนอกชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น เธอจึงทุ่มหมดหน้าตักเพื่อสืบสาวความจริงว่าพ่อของเธอเสียชีวิตได้อย่างไร ก่อนจะลาร่าจะได้พบกับการผจญภัยสุดอันตราย และมิตรสหายต่างแดนที่เธอคาดไม่ถึง

แม้ว่าหลังสิ้นสุดการฉาย บรรดาแฟนหนังต่างก็มองว่า Tomb Raider ในเวอร์ชั่นนี้คงไม่ได้ไปต่อ แต่ล่าสุดทางสตูดิโออย่าง MGM ได้เผยแล้วว่าหนังภาคต่อนี้จะได้ผู้กำกับอย่าง เบน วีทลีย์ มากุมบังเหียน โดยผลงานที่เบนเคยทำคือหนังแอ็คชั่นอินดี้เรื่อง Kill List ในปี 2011 หนังโพสต์ไซไฟอย่าง High-Rise ซึ่งนำแสดงโดยทอม ฮิดเดิลตัน ในปี 2015

ตัวหนัง Tomb Raider 2 ถูกวางกำหนดการเข้าฉายในอเมริกาเอาไว้ที่ 19 มีนาคม ปี 2021

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook