รีวิว The Prey เกมคนรวย ชายแดนและตลาดการค้ามนุษย์

รีวิว The Prey เกมคนรวย ชายแดนและตลาดการค้ามนุษย์

รีวิว The Prey เกมคนรวย ชายแดนและตลาดการค้ามนุษย์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไม่แปลกเลยครับถ้าหากคุณผู้อ่านอาจจะไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ เนื่องจาก The Prey เกมคนรวยเป็นหนังที่เข้าฉาย 1 โรงต่อหนึ่งรอบเท่านั้น (โดยเครือเมเจอร์ฯ เข้าฉายแค่เพียงสาขาเมเจอร์รัชโยธิน เอสพลานาดรัชดาและงามวงศ์วาน-แครายเท่านั้น ส่วนเครือ SF เข้าฉายที่ เดอะมอลล์บางกะปิและบางสาขาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ด้วยรอบฉายที่ลับแล และเสียงตอบรับที่เงียบกริบ คาดว่าหลังจากวันพุธที่ 9 ตุลาคม ชะตากรรมของหนังเรื่องนี้ก็คงไม่วายโดนถอดออกจากโปรแกรมฉายไปแบบไม่ได้รับการเหลียวแล

 

 

ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของจิมมี่ เฮนเดอร์สัน ชาวอิตาลี่ที่ย้ายมาอยู่ที่ประเทศกัมพูชาเพื่อกำกับภาพยนตร์ ซึ่งเขามีผลงานออกฉายหลายเรื่องและ The Prey เป็นผลงานเรื่องล่าสุดที่รวมเอานักแสดงจากหลายสัญชาติมาขึ้นจอ อันประกอบไปด้วย ไทย จีน และกัมพูชา

 

ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของ “ซิน” ตำรวจสายลับชาวจีน (กู เซง เว่ย) ซึ่งกำลังปฏิบัติภารกิจที่บริเวณตัวเมือง ชายแดนของประเทศกัมพูชาแต่แล้ว เขาก็พลาดท่าและถูกจับตัวไปอยู่ในคุกห่างไกล ซึ่งเป็นพื้นที่ไม่ได้อยู่ในการปกครองของประเทศใด ในพื้นที่นี้ถูกปกครองและดูแลโดยพัศดี (วิทยา ปานศรีงาม) ซึ่งจับคนที่เป็นอาชญากรมาขังเอาไว้ เพียงเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

 

 

ซินค้นพบว่าพื้นที่จองจำดังกล่าว มีไว้เพื่อให้นักโทษเป็นหมากตัวหนึ่งของเกมล่าเหยื่อ ซึ่งบรรดาคนรวยจะยอมจ่ายเงินมาเพื่อล่ามนุษย์ในแบบเดียวกันกับการล่าสัตว์ หนทางเดียวในการเอาชีวิตรอดคือซินต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหนีจากห่ากระสุนปืน

 

น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้ไม่อาจจะพาคนดูไปสำรวจประเด็นใหม่ๆทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องเขตชายแดนของพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งก็ยังวนเวียนในเรื่องเดิมๆ จนเราสงสัยว่ามันอาจจะเป็นภาพจำของคนต่างประเทศที่มองเรื่องเขตชายแดนไทยกัมพูชาเป็นเหมือนแดนสนธยาในการก่ออาชญากรรม (ในหนังก็กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกผู้มีอำนาจรังสรรค์ให้จับคนมาเป็นเหยื่อในเกมล่ามนุษย์) มิหนำซ้ำเมื่อหนังดำเนินไปสักระยะก็มีการใส่ตัวละครชาวบ้านที่ช่วยเหลือคนรวยเพราะต้องการเงิน หรือฉากจำพวกอุโมงค์ขนส่งเฮโรอีนใต้พื้นดิน ซึ่งก็เป็นวิธีการมองพื้นที่ชายแดนในภาพลักษณ์เดิมๆ เป็นต้น

 

 

สิ่งที่น่าเสียดายกว่าคือหนังเรื่องนี้จัดไฟได้มืดมาก หลายครั้งที่เป็นฉากที่มีแสงสว่างน้อย เราแทบมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าตัวละครกำลังทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รวมไปถึงฉากการต่อสู้ของตัวละครที่บางครั้งก็ดูไม่ทันด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นบนจอหนัง อย่างไรก็ตาม The Prey นั้นก็ไม่ใช่หนังที่คุณภาพเลวร้ายจนทนดูไม่ได้ หนังจัดได้ว่านั่งดูได้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ชวนลุ้นเอาใจช่วยตัวเอกจนสุดทางเช่นกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook