[รีวิว] In the Tall Grass หนังที่ผู้สร้างบอกน่ากลัวระดับ Hereditary
เรื่องย่อ ที่บางที่อยู่ดีๆ ก็มีชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนวนิยายเรื่องสั้นของสตีเฟน คิงและโจ ฮิลล์ เป็นเรื่องราวของคู่พี่น้อง เบ็กกี้และคาลที่ได้ยินเสียงร้องของเด็กชายขาดหายไปในทุ่งหญ้าสูง ทั้งสองรุดเข้าไปในทุ่งเพื่อช่วยเขา แต่กลับพบพลังชั่วร้ายที่ทำให้ต้องหลงทิศและพลัดหลงกัน หลังจากตัดขาดจากโลกภายนอกและหนีออกมาจากพลังดึงดูดของทุ่งแห่งนี้ไม่ได้ เบ็กกี้และคาลจึงได้รู้ว่าสิ่งที่เลวร้ายกว่าการหลงทางคือการที่มีใครสักคนเจอตัว
In the Tall Grass พงหลอนมรณะ เป็น 1 ใน 5 หนังเอ็กซ์คลูซีฟบนเน็ตฟลิกซ์ที่นำมาลงฉลองช่วงเวลาสยองขวัญอย่าง เดือนตุลา-ฮาโลวีน โดยหนังเรื่องนี้นับเป็นหนังเรื่องที่ 2 หลังจาก In the Shadow of the Moon ได้ออกฉายนำไปเป็นเรื่องแรกก่อนแล้ว โดยผลงานเรื่องนี้เป็นการเขียนบทและกำกับโดย วินเซนโซ นาตาลี (Vincenzo Natali) ผู้เคยฝากผลงานไซไฟปริศนาชิ้นเอกอุอย่าง Cube (1997) ไว้เป็นที่โจษจัน โดยความน่าสนใจคือการนำเรื่องสั้นชื่อเดียวกันของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ที่เขียนร่วมกับ โจ ฮิลล์ (Joe Hill) ลูกชายของคิง ซึ่งจะทำให้ปีนี้มีหนังที่ดัดแปลงจากนิยายของคิงเข้าฉายพร้อมกันถึง 4 เรื่องเข้าไปแล้ว คือ Pet Semetary, It: Chapter 2, In the Tall Grass และ Doctor Sleep ที่จะเข้าฉายในเดือนหน้า
แม้ว่าหนังจะไม่มีดารานำที่โด่งดังมาเล่น มีเพียง แพทริก วิลสัน (Patrick Wilson) ที่เคยรับบท เอ็ด สามีนักไล่ผีตระกูลวอร์เรน จากหนังสยองแฟรนไชส์ดัง The Conjuring ที่พอได้คุ้นหน้า และนักแสดงที่เหลือเรียกว่าแทบจะโนเนมเลยสำหรับบ้านเรา แต่สิ่งที่ทำให้หนัง เอาอยู่ มาก ๆ คือการเล่าเรื่องที่ล้อยั่วกับความอยากรู้ในใจคนอย่าง เสียงเรียกในพงหญ้ายาวไกลที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ การค่อย ๆ เผยตัวตนแห่งปริศนาที่คลุมเครือเมื่อพบตัวละครใหม่ในพงหญ้าที่มาพร้อมคำใบ้และคำถามใหม่ ๆ เสมอ และเมื่อเราได้รู้ความคิดความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวแปลกประหลาดของแต่ละคน ความน่ากลัวของสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติที่ค่อย ๆ ปรากฏกายแท้จริง ก็ผสมผสานความน่ากลัวของพฤติกรรมมนุษย์ กลายเป็นความน่าสนใจที่ทั้งหลอน และชวนค้นหาฉากจบไปพร้อมกัน
วิลสัน ได้รับบทบาทที่น่าจดจำอีกเรื่องหนึ่งโดยส่วนที่ชอบมาก ๆ ของหนังที่พอเล่าได้โดยไม่สปอยล์มาก ก็เช่นการกำหนดเงื่อนไขที่หลอนหัวมากในการเอาตัวรอดจากพงหญ้าสูงนี้ โดยคำใบ้มาจากเด็กชายโทบิ้นตัวละครปริศนาที่วิ่งไปมาในพงหญ้าได้โดยไม่หลงทาง เขากล่าวว่า “มีแต่สิ่งไม่มีชีวิตเท่านั้นที่หญ้าเหล่านี้จะไม่พาเคลื่อนย้ายไปไหน” แล้วหนังก็เผยภาพทางรอดหลังฉากวิ่งวนเวียนในทุ่งวงกตจนเราเหนื่อยล้าแทนตัวละครนำ นั่นคือการนอนตายเป็นศพเท่านั้นเอง นั่นคือจังหวะที่เราขนลุกไปพร้อมตัวละคร และสิ้นหวังกับแสงปลายอุโมงค์ขึ้นมาทันใด นี่ก็เป็นเพียงข้อกำหนดเล็กน้อยที่หนังจากนิยายแนวคิงมักมีให้ป่วนประสาทผู้ชมผู้อ่านเล่นเสมอ และมักทำได้ดีเสมอเช่นกัน
ความน่าสนใจต่อมา นอกจากปริศนาเหนือธรรมชาติซึ่งไม่อนุญาตให้ผู้ใดหนีออกจากพงหญ้าไปได้อย่างที่บอกไปแล้ว ก็คือฉากหลังของเรื่องที่ทำออกมาได้น่าขนลุกมาก ๆ ไม่เพียงพงหญ้าที่กินเวลาอยู่ทั้งเรื่องเท่านั้น ฉากเด็ดที่ผมโปรดเป็นพิเศษคือโบสถ์ร้างฝั่งตรงข้ามของพงหญ้ามรณะ ที่ตั้งตระหง่านให้ทุกตัวละครเห็นแต่ก็ไปไม่ถึง สิ่งปลูกสร้างโดยรอบที่ไม่มีให้เห็นสักหลัง สร้างความสิ้นหวังร้าวรานให้ตัวละครได้ดี เพราะมันไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตใดจะมาช่วยเหลือพวกเขาจริง ๆ บรรดารถมากมายหลากหลายยี่ห้อที่จอดจนเก่าเขรอะอยู่หน้าโบสถ์ ก็แสดงนัยยะชวนหลอนที่สุดว่านี่ไม่ใช่ตัวละครกลุ่มแรกที่ถูกพงหญ้ากลืนกินหายไป ตอกย้ำความสิ้นหวังลงไปอีกแบบไม่ต้องพูดอะไรมาก
หนังความยาวเพียง 90 นาที แต่ก็สร้างสถานการณ์แปลกประหลาดน่าสนใจได้ตลอดไม่มีท่าทีไวไป หรือเอื่อยไปแต่อย่างใด การดัดแปลงจากนิยายก็บิดและเลือกทางการเล่าใหม่ที่น่าสนใจมากขึ้นสนุกมากขึ้น อย่างการให้ตัวละครแฟนของนางเอกมาตามหา ซึ่งในนิยายไม่มี ก็ทำให้หนังขับเคลื่อนไปได้ไกลกว่านิยายเยอะมาก ทั้งยังได้เล่นความวิปลาสในใจของตัวละครพี่ชายของนางเอกได้อย่างน่าสนใจขึ้นด้วย แถมหนังไม่มีท่าทีต้องระมัดระวังคำพูดจนกลายเป็นหนังเด็ก ประเด็นแรง ๆ ก็พูดได้เล่าได้ ทำให้หนังมีวาระที่ให้คิดตามเยอะพอสมควร เป็นอีกหนังจากนิยายคิงที่สนุกน่าสนใจมาก ๆ ครับ