“As It Was” เลียมรู้ เลียมตื่น เลียมเบิกบาน

“As It Was” เลียมรู้ เลียมตื่น เลียมเบิกบาน

“As It Was” เลียมรู้ เลียมตื่น เลียมเบิกบาน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในฐานะแฟนเพลงของ Oasis ผมค่อนข้างดีใจกับชีวิตบั้นปลายของ เลียม กัลลาเกอร์ อดีตฟรอนต์แมนของวงนะครับ ไม่คิดไม่ฝันวันหนึ่งจะได้เห็นน้องเล็กแห่งบ้าน กัลลาเกอร์ แกมีวันนี้กับเขา วันนี้ในที่นี้หมายถึงวันที่แกตื่นเช้า ออกไปวิ่ง เลิกยา (หรือลดลงก็ไม่รู้) กลับมาอยู่กับครอบครัว อยู่กับลูก อยู่กับคนรัก ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด และเข้านอนในเวลาที่ควรเข้านอน

ย้อนไปยี่สิบปีที่แล้วถ้ามีใครสักคนบอกผมว่า เลียม จะลงเอยด้วยการมีชีวิตแบบที่เราเห็นในหนังสารคดี As It Was ของผู้กำกับ ชาร์ลี ไลต์เทนนิง และ กาวิน ฟิตซ์เจอราลด์ นี่ต่อให้เขาอมพระมาพูดผมก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดเลยนะครับ เออ... ถ้าเป็น กิ๊กซี่ (พอล แมคกีแกน) หรือ โทนี แมคแครอล มือเบสและมือกลองยุคก่อตั้งของวงก็ว่าไปอย่าง

แต่ก็นั่นแหละครับ ใดๆ ในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เลียม กัลลาเกอร์ คนที่ประกาศตั้งแต่แรกว่า “คืนนี้กูจะกลายเป็นร็อคแอนด์โรล สตาร์” (“Tonight, I am rock ‘n’ roll star” ท่อนหนึ่งจากเพลง Rock ‘N’ Roll Star เพลงแรกจาก “Definitely Maybe” อัลบั้มแรกของวงในปี 1994) และใช้ชีวิตสุดขอบมานับแต่นั้นก็ทรานฟอร์มตนเองจนกลายมาเป็นคนอย่างที่เราเห็นในหนังเรื่องนี้ได้เช่นกัน

เลียม กัลลาเกอร์เลียม กัลลาเกอร์

แต่ว่าไปแล้วมันก็น่าคิดอยู่ไม่ใช่น้อยครับว่าไอ้ที่เราเห็นในหนัง As It Was เรื่องนี้มันน่าเชื่อได้แค่ไหน?

คือลึกๆ ผมก็อิ่มเอมไปกับการตื่นรู้ของ เลียม กัลลาเกอร์ นะครับ การที่เขาตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ หรือการไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลวกับโปรเจกต์ Beady Eye แต่พยายามต่อสู้จนกลับมาประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยว (มีโซโล่อัลบั้มสองชุด) ที่เด็กวัยรุ่น (ลูก) ชื่นชอบกัน การกลับมาดูแลครอบครัวและคนรอบข้าง ดูแลแม้แต่สุขภาพของตนเอง เหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และเมื่อเป็นเรื่องจริงก็ต้องยกย่องชื่นชมครับ

As It WasAs It Was

แต่มันอดคิดไม่ได้ว่า หนังมันค่อนข้างให้ภาพการกลับมาเกิดใหม่ของ เลียม ในแบบตั้งอกตั้งใจเกินไปหน่อย เกินไปจนถึงขั้นที่เกือบจะกลายเป็นหนังโฆษณาตัวตนใหม่กันเลยทีเดียว ว่ากันตามตรง ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ดูตั้งใจอวยเลียมเป็นพิเศษครับ ถามว่าผิดไหม ไม่ผิด แล้วเชื่อได้ไหม เชื่อได้ครับ แต่ก็ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด และที่สุดแล้วในฐานะที่เป็นหนังสารคดี เนื้อหาต่างๆ ใน As It Was ที่สื่อออกมาเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ คำตอบคือเป็นครับ เป็นได้ทั้งข้อเท็จ เป็นได้ทั้งข้อจริง เป็นข้อเท็จจริงที่ดูสนุกๆ เพลินๆ ก็โอเคดีเหมือนกัน แต่ผมว่าเอาเรื่องเอาราวอะไรแน่ๆ ไม่ได้

เพราะอย่าลืมนะครับว่าในส่วนที่เป็นหัวข้อหลักที่หนังทุ่มเทเวลากับเลียมก็คือเรื่องปมขัดแย้งระหว่างเขากับโนล พี่ชายนั้นไม่มีส่วนไหนเลยที่หนังสนทนากับโนลโดยตรง (ไม่นับการเอาฟุตเตจที่โนลเคยให้สัมภาษณ์ไว้มาใช้) ตรงกันข้ามกับเลียมที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว ไม่แปลกครับ ก็นี่มันหนังของเขา

แต่สิ่งที่ผมกลับรู้สึกได้จากหนังเรื่องนี้ก็คือแม้ในความเกลียดชังพี่ชายแค่ไหน แต่ลึกๆ เลียมก็เฝ้ารอโนล กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง เขาเฝ้ารอการรียูเนี่ยนของ Oasis อยู่ทุกขณะจิตเลยครับ ซึ่งผมว่าคงยากในอนาคตอันใกล้เพราะ โนล ใจแข็งเหลือเกิน แถมแกก็ไปได้ดีกับโปรเจกต์ High Flying Birds ด้วย ไม่มีความจำเป็นอะไรที่โนลจะต้องการ Oasis ในเร็ววัน แต่ผมรู้สึกว่าเป็นความจำเป็นอย่างมากในความคิดของเลียม ไม่แน่นะครับแก่ๆ กันมากกว่านี้ เรื่องนั้นอาจเกิดขึ้นจริงก็ได้

สุดท้าย ผมว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดของ As It Was ก็คือจดหมายรักจดหมายเกลียดที่น้องเขียนถึงพี่ว่า เรากลับมาทำ Oasis กันเถอะ ฉันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเลียมคนเก่าอีกแล้ว เป็นเลียมคนใหม่ที่รู้แล้ว ตื่นแล้ว เบิกบานแล้วนั่นเองครับ ทีนี้ก็อยู่ที่พี่ชายแล้วล่ะว่าจะหยิบจดหมายออกมาอ่านหรือเปล่า

 

ชมภาพยนตร์ตัวอย่าง As It Was ได้ ที่นี่

 

เกี่ยวกับผู้เขียน
จักรพันธุ์ ขวัญมงคล
นักเขียน นักแปล นักวิจารณ์ภาพยนตร์ และบรรณาธิการอิสระ สนใจความเคลื่อนไหวในแวดวงศิลปะและสังคม

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ “As It Was” เลียมรู้ เลียมตื่น เลียมเบิกบาน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook