[รีวิว] The Exchange โจรปล้นโจร หนังไทยแก้เลี่ยน ถึงทุนน้อยแต่ไอเดียดีน่าเชียร์
โจและเมย์กำลังจนตรอกเมื่อโจป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง เมย์นำเงินที่แม่ของเธอทิ้งไว้ให้ไปแลกที่ร้าน The Exchange แต่กลับกลายเป็นว่าเงินเหล่านั้น กลายเป็นเงินสกุลที่เลิกใช้ไปแล้ว ทั้งคู่ถูกผู้จัดการร้านสบประมาท นั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เมย์เริ่มวางแผนปล้นร้านแลกเงิน แม้โจจะไม่เห็นด้วยแต่ด้วยความเป็นห่วงเมย์ เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้เมย์ทำเรื่องนี้คนเดียวได้ ทั้งคู่ตัดสินใจปล้น ทว่าเมื่อถึงวันที่ลงมือกลับกลายเป็นว่ามีกลุ่มโจรอีกกลุ่มบุกเข้ามาและจับพนักงานร้าน ลูกค้า รวมถึงโจและเมย์เป็นตัวประกัน กลุ่มโจรบอกว่าต้องการแค่เงิน และจะไม่ทำร้ายใคร แต่คำพูดเหล่านั้นจะเชื่อได้จริงหรือ โจต้องการจะหนีออกจากสถานการณ์นี้ แต่เมย์กลับมองเห็นช่องทางที่จะขโมยเงินต่อจากโจรอีกที ในพื้นที่ปิดตาย ที่คน 13 คนติดอยู่ด้วยกันนั้น ไม่อาจตอบได้ว่าสุดท้าย ใครจะเป็นคนที่อันตรายที่สุด
อ่านเรื่องย่อก็รู้ไป 80% ของเรื่องแล้ว มันพอบอกอะไรเราได้บ้าง ก็บอกได้ว่าหนังเรื่องนี้เดินพลอตแบบไม่ได้ซับซ้อนมากมาย คือสถานการณ์บีบคั้นในพื้นที่ปิดที่โจรมือโปรมาปล้นแต่ดันมาเจอโจรมือสมัครเล่นปะปนในกลุ่มตัวประกัน ซึ่งมองเป็นข้อดีได้นะ เพราะหนังดูตามสภาพคือทุนไม่สูงนัก จำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการเล่นกับความจำกัดทั้งสถานที่ ฉาก ตัวละคร เพื่อชดเชยความพร่องของเงินทุน ทำให้หนังไทยเรื่องนี้ดูแตกต่างและแก้เลี่ยนวังวนน้ำเน่าขังของวงการหนังไทยกระแสหลักไปได้บ้าง
หนังเป็นผลงานของผู้กำกับ เฉลิม วงค์พิมพ์ ผู้สร้างหนังแอ็กชันมัน ๆ ไอเดียดีอย่าง 7 ประจัญบาน (2545) 7 ประจัญบาน 2 (2548) และ คนไฟบิน (2549) จัดเป็นมือเก๋าในยุคสมัยหนึ่งที่หนังไทยยังบูมมาก ๆ การกลับมารอบนี้เขานำแนวหนังฝรั่งมาเล่นในหนังไทยแบบที่ไม่เห็นมานานมากแล้ว ถ้าจะจัดประเภทก็เข้าทั้ง ดราม่า โรแมนติก อาชญากรรม ตลกร้าย แต่จะลงให้ลึกในเนื้อแท้หนังเรื่องนี้ก็คือหนังนัวร์ดี ๆ นี่เอง เพราะเมื่อเรื่องราวยิ่งเล่ายิ่งเผยเปลือกในตัวละครออกมามากขึ้น ๆ จนเราเห็นว่า ไม่มีใครขาวสะอาดในโลกความจริงที่ทุกคนต้องเอาตัวรอด
และแก่นตรงนี้ก็นำมาขยายรายละเอียดของสถานการณ์ได้อย่างน่าสนุก และเต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจแบบที่ โจ ตัวเอกของเรื่องพูดบ่อยครั้งว่า ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์ ทั้งหัวหน้าโจรที่จิตใจอ่อนโยน หัวหน้ายามที่เจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอกเฒ่าหลอกใช้คนอื่นไม่เลือกมิตร-ศัตรู เจ้าของร้านแลกเงินที่เหยียดหยามคนจนสุดกู่ มหาเศรษฐีกรรมการวัดดังที่บวชเรียนมานาน 20 ปีที่พร้อมทิ้งธรรมะทั้งหลายเพื่อผลประโยชน์ของตน หรือแม้แต่คนธรรมดา ๆ ในเรื่องที่พร้อมจะร้อยเล่ห์หมื่นมารยาเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์เสี่ยงชีวิต อย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าว่าด้วยไอเดียมันจึงเป็นหนังที่มันมือมันในการสร้าง และสนุกตามาก ๆ ในการชม แค่ต้องเดาว่าใครดี ใครร้าย ใครร้ายกว่า ก็สนุกแล้ว
ด้านนักแสดงก็สามารถดึงเสน่ห์ของดารานำอย่าง เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ และ คิทตี้ ชิชา อมาตยกุล มาใช้ได้ดี เราอินกับตัวละครได้ทันที ตั้งแต่ฉากแรก ๆ เพราะคาแรกเตอร์ของทั้งสองทั้งดิบและธรรมชาติ ทั้งยังเข้ากันดีแบบเชื่อได้ว่าคือคู่รักสมัยใหม่ทั่วไปจริง ๆ จะไม่ค่อยรู้สึกเหมือนตัวละครประดิษฐ์ในหนังเท่าใด และยิ่งฉากต่อมาที่เล่าทางดราม่าให้เห็นใจตัวละครเราก็เข้าหัวอกหัวใจพวกเขาได้ไว เพราะมันไม่ต่างจากคนธรรมดาดวงซวยที่พบได้ทั่วไปจริง ๆ และพอหนังพาเข้าเส้นปล้น เราจึงทั้งเอาใจช่วยและมองผ่านสายตาตัวละครนำได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงแต่อย่างใด
หนังมีจุดติงอยู่บ้างเหมือนกัน ทั้งเรื่องฉากแอ็กชันแบบศิลปะการต่อสู้ต่าง ๆ ที่มือเก๋าอย่างเฉลิม วงค์พิมพ์น่าจะทำได้ดี กลับรู้สึกว่ามีความไม่ลื่นในการกำกับฉากบู๊อยู่เหมือนกัน อาจด้วยหนังสเกลกลางค่อนเล็กทำให้ออกแบบท่าทางต่าง ๆ ได้ไม่จริงจังมากนัก ในขณะที่เอฟเฟกต์พิเศษที่โชว์การยิงการระเบิดก็อยู่ในระดับที่พอยอมรับได้ถ้าคิดว่าหนังอยู่ระดับทุนสร้างหนังวีซีดียุคเก่า และแม้ว่านักแสดงตัวหลัก ๆ จะทำได้สมจริงดูดี แต่ตัวประกอบหลายตัวก็ดรอปมาตรฐานลงมากจนเหมือนตัวละครในละครหลังข่าวที่ไม่น่าจดจำเลยก็มี ก็น่าจะเป็นปัญหาตามที่บอกแต่แรกว่าหนังไม่ได้ทุนมากเท่าไรนักหรอก ดีไม่ดีน่าจะไม่เท่าหนังไทยระดับปกติด้วย แต่ด้วยการเติมเต็มด้วยบท การสร้างสรรค์ตัวละคร การเดินพลอตและธีมที่น่าสนใจน่าค้นหาและติดตาม มันก็ชดเชยให้หนังอยุ่ในระดับที่ดูสนุกได้เรื่องหนึ่งเลยล่ะ
โดยเฉพาะฉากประชดเสียดสีเจ็บ ๆ ต่อสังคมชนชั้น และการเผยว่าคนธรรมดาตาซื่อก็ร้ายได้ไม่แพ้พวกคนรวยใจคดนี่ล่ะโคตรโดน