“Doctor Sleep” เรื่องเก่าที่ต้องเล่าให้จบ

“Doctor Sleep” เรื่องเก่าที่ต้องเล่าให้จบ

“Doctor Sleep” เรื่องเก่าที่ต้องเล่าให้จบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผมมี “The Shining” งานคลาสสิคในปี 1980 ของ แสตนลีย์ คูบริค เป็นหนังในดวงใจเรื่องหนึ่งครับ เคยดูครั้งแรกตอนเป็นเด็กจำได้ว่ามันน่ากลัว คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นหนังสยองขวัญหนังผีอะไรแบบนั้น แต่พอได้มาดูอีกครั้งตอนโตแล้วจึงพบว่า “The Shining” เป็นมากกว่าหนังสยองขวัญทั่วๆ ไป เพราะมันสามารถตีความไปได้มากกว่านั้น

ผมไปอ่านเจอมาที่ไหนสักแห่ง (จำไม่ได้ครับ นานแล้ว) เขาบอกว่า “The Shining” สามารถตีความได้อย่างหลากหลาย ทั้งในแง่จิตวิเคราะห์ของผู้ที่ตกอยู่สภาวะโดดเดี่ยวในสถานที่อันถูกทิ้งร้าง ทั้งในแง่ภาวะทางอารมณ์ของผู้ป่วยที่เสพติดหรือยึดติดกับอะไรสักอย่าง หรือในแง่ความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่าง สามี-ภรรยา พ่อ-ลูก อะไรทำนองนั้น ซึ่งผมก็เห็นด้วยครับ ต้องยกคุณงามความดีให้กับ แสตนลีย์ คูบริค ผู้กำกับภาพยนตร์บรมครูผู้ล่วงลับ และ สตีเฟน คิง เจ้าของบทประพันธ์

The ShiningThe Shining

แต่สิ่งที่ผมชอบมากๆ อีกอย่างใน “The Shining” ก็คือการกำกับภาพของ จอห์น อัลคอทท์ Director of Photography ของเรื่องนี้ อัลคอทท์ เป็นผู้กำกับภาพคู่บุญของ คูบริค ครับ หนังที่เป็นหมุดหมายสำคัญๆ ของ คูบริคหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น “2001: A Space Odyssey” (1968), “A Clockwork Orange” (1971), “Barry Lyndon” (1975) รวมทั้ง “The Shining” ก็ได้ อัลคอทท์ นี่แหละครับที่นั่งอยู่หลังเลนส์ให้ คูบริค การจับคู่กันของ คูบริค และ อัลคอทท์ นี่สร้างคุณูปการให้วงการภาพยนตร์มากเลยนะครับ และสิ่งที่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนได้ฝากเอาไว้ก็ส่งอิทธิพลให้กับนักสร้างหนังรุ่นหลังและมีบทบาทอยู่ในวัฒนธรรมร่วมสมัยมาตลอดสี่สิบกว่าปีเลยครับ

ที่กล่าวถึง “The Shining” นั้นก็เพราะว่า “Doctor Sleep” นั้นเป็นภาคต่อของ “The Shining” นั่นเอง สตีเฟน คิง เจ้าของบทประพันธ์ของทั้งสองเรื่องเขียนเรื่องหลังหากจากเรื่องแรก 36 ปี เพราะนึกสงสัยว่าหลังจากเหตุการณ์ที่โรงแรมโอเวอร์ลุคแล้ว แดน ทอร์แรนซ์ จะเติบโตมาเป็นคนแบบไหนกันแน่ และเรื่องราวต่อจากนั้นควรดำเนินไปในรูปรอยใด นั่นก็เลยเป็นที่มาของ  “Doctor Sleep” ที่กำกับโดย ไมค์ ฟลานาแกน ครับ

Doctor SleepDoctor Sleep

ฟลานาแกน นี่แกเชี่ยวชาญหนังสยองขวัญมาก เคยทำหนังทำนองนี้มาหลายเรื่อง อาทิ “Before I Wake” (2016), “Ouija: Origin of Evil” (2016), “Before I Fall” (2017), “Gerald's Game” (2017) และ “The Haunting of Hill House” (2018) ซึ่ง ฟลานาแกน เองก็มีผู้กำกับภาพคู่บารมีแบบที่ คูบริค มี อัลคอทท์ เหมือนกัน DOP คู่ใจของฟลานาแกนคือ ไมเคิล ไฟมอกนารี ซึ่งถ่ายหนังให้ฟลานาแกนหลายเรื่อง เรื่องที่ผมยกมาก่อนหน้านี่ก็เป็นฝีมือแกเกือบทั้งหมดนั่นแหละครับ

เพราะฉะนั้น นอกจากเป็นการสานต่อเรื่องเล่าของ สตีเฟน คิง ให้จบครบถ้วน แล้ว “Doctor Sleep” ก็ยังดูคล้ายจะเป็นงานไหว้ครูที่ทั้ง ฟลานาแกน และ ไฟมอกนารี มีต่อ แสตนลีย์ คูบริค และ จอห์น อัลคอทท์ ยังไงยังงั้นเลยครับ

เอาล่ะ ทีนี้มาดูที่ “Doctor Sleep” กันบ้าง

ผมมีความรู้สึกและความเห็นที่...นับจนถึงวันที่เขียนบทความชิ้นนี้ ก็ยังเป็นความรู้สึกหรือความคิดที่หลากหลายปนเปอยู่นะครับ มีทั้งที่ชอบและทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร

คือผมรู้สึกชอบที่ ฟลานาแกน พาหนังไปสู่พรมแดนใหม่ๆ ของเรื่องเล่าเดิม (ใน “The Shining”) ซึ่งสนุกตื่นเต้น ระทึกขวัญดี แถมยังใช้เทคนิคในการสร้างความน่าหวาดกลัวแบบเดียวกับที่ คูบริค ทำ นั่นคือการค่อยๆ สร้างบรรยากาศ อึมครึม อึดอัด ไม่กระตุกขวัญผู้ชมด้วยการตัดต่อแบบ Jump Scare (หรือที่เราเรียกกันว่า “ตุ้งแช่” นั่นแหละ) แบบหนังสยองขวัญทั่วไปเลย แต่กลับค่อยๆ ปลุกความปั่นป่วน รบกวนในใจผู้ชมทีละนิดทีละน้อย แตกต่างตรงแค่ว่าเรื่องเล่าใน “Doctor Sleep” นั้นมันไปไกลและชัดเจนมากว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่าง คนคนหนึ่ง (จริงๆ สองคน) กับขบวนการหรือองค์กรหนึ่ง ซึ่งไอ้ความชัดเจนแบบนี้แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกยังไงยังไงอยู่ จะบอกว่าชอบก็ชอบน้อยกว่า “The Shining” นิดนึงเพราะใน “The Shining” นั้น คุณสามารถมองมันในมุมไหนก็ได้ ตีความได้หลากหลายกว่า แต่กับ “Doctor Sleep” ที่จำเป็นต้องเล่าเรื่องแบบมิติเดียวเพื่อให้เรื่องราวในหัวของ สตีเฟน คิง มีการคลี่คลายและจบสมบูรณ์ (ซึ่งน่าจะเป็นความตั้งใจแต่แรกของ คิง) มันก็เลยทำให้เหลี่ยมมุมต่างๆ ที่ควรซับซ้อนกลับกลมกลึงขึ้นมา มองแบบไม่ยึดติดกับของเก่า “Doctor Sleep” ก็เป็นเรื่องเล่าที่สนุก มีชั้นเชิง ตื่นเต้นดีมากเลยนะครับ เพียงแต่ผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่าที่ “The Shining” มันคลาสสิค ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคลุมเครือของมันนั่นแหละ ส่วน “Doctor Sleep” นั้นอาจไม่ไปถึงขั้นนั้น แต่ถ้ามองกันอย่างยุติธรรมก็ถือว่าสนุกมากพอสมควรแหละครับ

อ้อ! อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ คือผมดู ยวน แมคเกรเกอร์ รับบทผู้มีพลังกำลังถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้คนรุ่นหลังแบบนี้ทีไรแล้วอดนึกถึง โอบี-วัน เคโนบี กำลังฝึกพาดาวันอย่าง ลุค สกายวอลค์เกอร์ ไม่ได้ทุกทีเลยครับ พอรู้สึกแบบนี้ก็เลยรู้สึกยุกยิกในใจขึ้นมานิดนึง เอาแต่สงสัยว่า แอบรา (ตัวละครที่คล้ายจะเป็นลูกศิษย์) จะเข้าสู่ด้านมืดไหม...เซ็งเหมือนกันครับที่ดันไปคิดแบบนั้น ฮ่าๆ

แต่สรุปว่า “Doctor Sleep” นั้นเป็นภาคต่อของ “The Shining” ที่ต้องเล่าให้จบครับ แม้จะค่อนข้างหมดจดสมบูรณ์ ไปหน่อยจนไม่เหลืออะไรให้คิดต่อ แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่ดูสนุก ภาพสวยงาม ตื่นเต้น และได้อรรถรสเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ไม่อยากให้พลาดครับ

 

ชมภาพยนตร์ตัวอย่าง Doctor Sleep ได้ ที่นี่

 

เกี่ยวกับผู้เขียน
จักรพันธุ์ ขวัญมงคล
นักเขียน นักแปล นักวิจารณ์ภาพยนตร์ และบรรณาธิการอิสระ สนใจความเคลื่อนไหวในแวดวงศิลปะและสังคม

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ “Doctor Sleep” เรื่องเก่าที่ต้องเล่าให้จบ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook