5 หนังคว่ำแรง แป้กแบบไม่คาดคิด ประจำปี 2019
เป็นประจำกับทุกสิ้นปี คือช่วงเวลาที่เราต้องกลับมามองย้อนไปในรอบปีที่ผ่านมา ว่ามีหนังจากฝั่งตะวันตกเรื่องใดบ้างที่ประสบความสำเร็จ ในขณะเดียวกันหนังฟอร์มยักษ์บางเรื่องก็ล้มเหลวแบบไม่มีใครคาดคิดเช่นกัน ที่แน่ๆ สตูดิโอเจ้าของผู้ออกทุนสร้างต้องกุมขมับกันอย่างแน่นอน เพราะมันหมายถึง “เม็ดเงินลงทุนที่สูญสลายหายไป” หรือพูดง่ายๆว่าขาดทุนนั่นเอง
มาดูกันว่า 5 เรื่องที่เป็นหนังคว่ำแรงประกอบไปด้วย เรื่องใดกันบ้าง
Hellboy
ว่ากันว่าปัจจุบันทำหนังซูเปอร์ฮีโร่แล้วจะไม่มีวันเจ๊ง แต่ Hellboy ได้พิสูจน์แล้วว่า ถ้าเป็นหนังฮีโร่ (หรือแอนตี้ฮีโร่) ที่ไม่ได้มาจากคอมิกส์ค่ายดังอย่างดีซี หรือ มาร์เวล อาจจะมีสภาพเอน็จอนาจเฉกเช่นหนังเรื่องนี้
อันที่จริง Hellboy ในเวอร์ชั่นของผู้กำกับกิเยร์โม เดล โตโรในปี 2004 (รวมถึงภาคต่อในปี 2008) อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบเปรี้ยงปร้าง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นหนังขาดทุน (พูดง่ายๆมันทำกำไรแบบพอหอมปากหอมคอ ผู้สร้างไม่เข้าเนื้อตัวเอง) ประกอบกับเสน่ห์เฉพาะตัว ทำให้ตัวเอกจอมขวางโลก และหลากหลายตัวละครในหนังเรื่องนี้ได้รับการจดจำพอสมควร
จนกระทั่งในเวอร์ชั่นล่าสุดของผู้กำกับ นีล มาร์แชลล์ ภายใต้การดูแลของสตูดิโอไลออนเกสต์ ที่ตัดสินใจจะรีบูต Hellboy ใหม่ให้มีความดิบ เถื่อน ถึงเลือดถึงเนื้อมากยิ่งขึ้น แต่ผลลัพธ์ออกมาตรงกันข้ามเพราะนอกจากหนังจะไม่ค่อยสนุกแล้ว ตัวโปรดักชั่นของเรื่องยังดูราคาถูกมากๆ ส่งผลให้หนังทุนสร้าง 50 ล้านเหรียญฯ ทำเงินไปทั่วโลกแค่เพียง 44 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น เรียกได้ว่าโอกาสในการสร้างภาคต่อเป็นศูนย์อย่างแน่นอน
Dark Phoenix
ภาคสุดท้ายของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ X-Men หลังจากที่สตูดิโออย่างทเวนตี้ เซนจูรี่ฟอกซ์จะถูกควบรวมกิจการกับสตูดิโอดิสนีย์ แม้หนังภาคนี้จะต้องการนำเสนอตัวเดินเรื่องเป็นเพศหญิงอย่าง “จีน เกรย์” แต่ด้วยผลงานการกำกับของไซมอน คินเบิร์ก (มือเขียนบทและโปรดิวเซอร์) ที่มาจับงานกำกับเป็นครั้งแรก ทำให้หนังภาคนี้พร่องความสนุกลงไปเยอะ
แรกเริ่มเดิมทีหนังมีกำหนดการเข้าฉายตั้งแต่ 2 พฤศจิกายนปี 2018 แต่หลังจากสตูดิโอได้ฉายรอบทดลอง หนังก็ถูกสั่งให้รื้อตอนจบและถ่ายซ่อมเพิ่ม จนทำให้หนังถูกเลื่อนมาฉายในปีนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว หนังต้นทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญฯ กลับทำเงินทั่วโลกไปแค่เพียง 252 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะดูทำรายได้มากกว่าต้นทุน แต่รายได้นี้ยังไม่ได้รวมการหักส่วนแบ่งกับโรงภาพยนตร์ รวมไปถึงค่าทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ จึงประมาณการว่าหนังน่าจะขาดทุนเป็นตัวเลขไม่น้อยทีเดียว
Terminator: Dark Fate
การกลับมาของ “คนเหล็ก” ซึ่งครั้งนี้ การได้เจมส์ คาเมรอน กลับมานั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์และมือเขียนบทร่วมอีกครั้ง แถมยังได้นักแสดงอย่างลินดา ฮามิลตัน จาก Terminator 2: Judgment Day กลับมารับบทซาร่า อีกครั้ง แถมหนังในภาคนี้ยังคอนเฟิร์มตัวเองว่า เป็นภาคที่ดำเนินเส้นเรื่องต่อจาก Terminator 2: Judgment Day ของปี 1991 ก็ตาม แต่หนังกลับเปิดตัวในอเมริกาแค่เพียง 29 ล้านเหรียญฯ เมื่อย้อนกลับไปดูต้นทุนที่หนังใช้ถึง 185 ล้านเหรียญฯ ดูเหมือนว่าหนังจะต้องไปหาทางคืนทุนจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งถึงปัจจุบันนี้ (หนังยังไม่สิ้นสุดการฉาย) หนังทำเงินทั่วโลกรวมอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านเหรียญฯ
เมื่อพิจารณาจากทั้งแฟรนชายส์ Terminator แล้วจะพบว่า Terminator: Dark Fate เป็นภาคที่ทำรายได้ต่ำที่สุดตั้งแต่ ภาค Terminator 2: Judgment Day เป็นต้นมา ซึ่งพอเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่า แฟรนชายส์ชุดนี้เสื่อมความนิยมลงอย่างชัดเจน
Gemini Man
หนังคอนเซปวิล สมิธในวัยกลางคน ไล่ล่าตัวเองในวัยหนุ่มอาจจะเป็นพล็อตที่แปลกใหม่และน่าสนใจ สำหรับช่วงเวลาเมื่อ 20 ปีก่อน แต่เมื่อหนังถูกสร้างและออกฉายในปี 2019 ทุกอย่างที่อยู่ในหนังแอ็คชั่นเรื่องนี้จึงมีทั้งความเชย ล้าสมัย ฉากแอ็คชั่นต่อสู้ต่างๆ ผู้ชมเคยผ่านตามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน คงจะมีแค่เพียงเทคโนโลยีเทคนิคพิเศษในการถ่ายภาพให้มีความคมชัดและละเอียดในรูปแบบ 120 เฟรมต่อวินาที ที่เป็นสิ่งที่น่าสนใจ รวมไปถึงการใช้ความละเอียดภาพ 3.2K ฉายภาพที่ความสว่าง 28 ฟุตแลมเบิร์ต ผ่านแว่นตา 3D ซึ่งสว่างกว่าโรงภาพยนตร์ 3D ที่ดีที่สุดถึงสี่เท่า แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อหนังไม่ค่อยจะสนุก เทคโนโลยีที่ใช้ในหนังก็สูญเปล่า
Gemini Man ใช้ต้นทุนในการสร้างอยู่ที่ 138 ล้านเหรียญฯ แต่ทำรายได้ทั่วโลกอยู่แค่เพียง 172 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น
Charlie’s Angels
การกลับมาครั้งล่าสุดของนางฟ้าชาร์ลี ผลงานภายใต้การกำกับ เขียนบท และร่วมแสดงเองของผู้กำกับหญิงเก่งอย่าง อลิซาเบธ แบงค์ ซึ่งในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ หนังมีความเฟมินิสต์สูงมากเสียจนบรรดาคนดูผู้ชาย เหมือนจะถูกด่าอยู่กลายๆ แน่นอนว่าหลังจากที่หนังออกฉายในอเมริกา Charlie’s Angels ทำรายได้เปิดตัวอย่างน่าผิดหวัง เมื่อมันทำเงินแค่เพียง 8 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น และกระแสลบที่ตามออกมา ทำให้หนังฟอร์มตกอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนี้หนังทำรายได้ทั่วโลกอยู่แค่เพียง 51 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น เมื่อเหลือบกลับไปมองต้นทุนในการสร้างหนังที่ 48 ล้านเหรียญฯ แล้ว ก็ดูทรงว่า นางฟ้าชาร์ลีในฉบับล่าสุดคงจะไม่มีโอกาสได้สยายปีกทำภารกิจในภาคต่อไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากหนัง 5 เรื่องข้างต้นยังมีหนังฟอร์มกลางอีกหลายเรื่องที่เข้าข่ายหนังที่ไม่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้อาทิ Anna, Captive State, Cold Pursuit, Long Shot, The Kid Who Would Be King, UglyDolls, Wonder Park, Replicas และ Serenity เป็นต้น