จะเป็นไงถ้า Marvel สร้าง Fantastic 4 ใหม่ด้วยตัวเอง?
หลังจากการควบรวมบริษัทค่ายหนังยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูดอย่าง Disney และ 20th Century Fox แล้วเสร็จในปีนี้ ทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาลที่โอนสิทธิ์ตามไปยัง Disney ก็คือลิขสิทธิ์ในการสร้างหนังจากตัวละครดัง ๆ โดยเฉพาะคาแร็คเตอร์ซูเปอร์ฮีโรที่ยังคงเป็นวัตถุดิบสำคัญของบรรดาหนังทำเงินตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา สิทธิในตัวละครของ Marvel ที่ถูกขายออกไปที่ Fox ก่อนหน้านี้จนเกิดเป็นหนังนั้น นอกจากเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ X-Men แล้ว ก็ยังมีอีกกลุ่มดาวเด่นของ Marvel อีกกลุ่มนั่นคือสี่กายสิทธิ์หรือ Fantastic 4
วันนี้ What The Fact ขอนำเสนอรายงานวิเคราะห์เจาะลึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่เว็บไซต์ข่าวอย่าง Looper รวบรวมมาบอกเล่า เพื่อให้แฟน ๆ หนังซูเปอร์ฮีโร แฟนหนังมาร์เวล และแฟนของเหล่ากายสิทธิ์ทั้ง 4 ที่รอคอยอยู่ว่าเมื่อไหร่จะได้ดูฉบับรีเมครอบ 3 ภายใต้ชายคาของ Marvel Cinematic Universe ได้ทบทวนและเตรียมทำการบ้านไว้ล่วงหน้า ก่อนที่วันประกาศสร้างอย่างเป็นทางการจะมาถึง
กำหนดฉายของ Fantastic 4 เรื่องใหม่
Kevin Feige หัวเรือใหญ่ของ Marvel Studio กล่าวในงานซานดิเอโก คอมิกคอนในปีนี้ว่า Marvel มีแผนสำหรับการนำสี่กายสิทธิ์มาทำเป็นภาพยนตร์อีกครั้งอย่างแน่นอน และขณะนี้ก็อยู่ในระหว่างขั้นตอนการเตรียมถ่ายทำแล้วด้วย ซึ่งก็ทำให้แฟน ๆ คาดการณ์กันว่า ถ้าหนังเรื่องใหม่จะอยู่ในเฟส 4 ที่กินระยะเวลาลากยาวไปถึงปี 2021 หรือปี 2022 หนังมาร์เวลที่ถูกจับจองช่วงเวลาฉาย 2 เรื่องจากทั้งหมด 3 ในปี 2021 ไปก่อนแล้วนั้น จะมี Black Panther 2 ในเดือนพฤษภาคม 2021 และน่าจะเป็น Blade รีเมคที่ได้นักแสดงออสการ์ Mahershala Ali มาสวมบทนักล่าแวมไร์ที่ Wesley Snipe เคยเล่นเอาไว้ ทำให้มีความหวังว่า วันฉายอีกเรื่องที่เหลืออยู่อาจจะเป็นของ F4 ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ตอนที่ฉบับปี 2015 ล้มเหลว และ Fox ดูจะถอดใจกับการทำภาคต่อ ก็เคยมีข่าวว่า Marvel อาจจะได้สิทธิของตัวละครคืนกลับบ้าน และได้มีการเตรียมรอรับกลับมาก่อนที่ Disney จะควบกิจการ Fox แล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2019 แล้วด้วย
การกลับมาเป็นหนที่ 4 ของสี่กายสิทธิ์
สี่กายสิทธิเคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังมาแล้วทั้งหมด 3 เวอร์ชันในจำนวน 4 เรื่อง โดยในครั้งแรกที่แทบไม่มีใครจดจำได้นั้น หนังไม่ได้ออกฉายโรงใหญ่แต่ลงในรูปแบบ VHS (เทคโนโลยีก่อนการมาถึงของม้วน VDO) เลยในปี 1994 นำแสดงโดยนักแสดงไม่มีชื่อเสียง ซึ่งต่อมาได้มีสารคดีเรื่อง Doomed: The Untold Story of Roger Corman’s the Fantastic Four ออกมาบอกเล่าเบื้องหลังของหนังที่ก็เคยได้ชื่อว่าเป็น หนังมาร์เวลเรื่องนี้ที่ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่ ว่าได้มีการจ้างให้ Roger Corman เจ้าพ่อนักสร้างหนังเกรดบีมาสร้าง Corman ถามผู้สร้างว่ามีงบเท่าไหร่ ซึ่งเขาได้คำตอบว่า คุณช่วยสร้างหนัง 30 ล้านเหรียญฯ ในทุนแค่ 1 ล้านเหรียญฯ ให้ผมที!
ในครั้งที่สอง เราได้เห็นสี่กายสิทธิ์ในsoyปี 2005 ก่อนที่จะมีภาค 2 ตามออกมาในปี 2007 นำแสดงโดย Ioan Gruffudd รับบทรีด ริชาร์ดหรือมนุษย์ยางยืด ในตอนนั้นเขาโด่งดังจากการรับบทเป็น Lancelot ในหนัง King Arthur นักแสดงคนต่อมาคือ Jessica Alba ดาราสาวเซ็กซี่ในเวลานั้น เธอรับบทเป็นซู สตอร์ม ตามนามสกุล เธอคือผู้ควบคุมพลังพายุได้ บทน้องขายของเธอ จอห์นนี่ สตอร์ม ผู้มีพลังควบคุมไฟ รับบทโดย Chris Evans ผู้ซึ่งต่อมาได้รับบทเป็นกัปตันอเมริกา (เป็นนักแสดงคนแรกที่ได้อยู่ในหนังที่สร้างจาก Marvel Comics สองเรื่อง) และสุดท้ายเบน กริมม์ ผู้มีร่างกายเป็นก้อนหิน รับบทโดย Michael Chiklis ในภาคแรกทั้ง 4 ต้องเผชิญหน้ากับวายร้ายด็อกเตอร์ดูม หนึ่งในตัวร้ายคนสำคัญของจักรวาลมาร์เวล และภาคสองต้องต่อกรกับซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ ทั้งสองภาคกำกับโดย Tim Story ผู้กำกับผิวสีที่ทำแต่หนังตลกมาตลอดเช่น Barbershop (2002) หรือ Ride Along (2014) Fantastic Four ของเขาจึงกลายเป็นหนังฮีโรเบา ๆ อย่างไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่นัก
มาถึงปี 2015 Fox จึงหยิบทรัพย์สินอันมีค่ามาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง ก่อนที่สิทธิจะต้องกลับไปสู่ Marvel หากตัวละครไม่ได้ถูกสร้างเป็นหนังนานเกิน 10 ปี และในเวลานั้นเอง Marvel ก็กล้าแกร่งจากการสร้างหนังทีม Avengers ได้สำเร็จ ความมั่นใจของ Fox ยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อได้คว้าตัว Josh Trank ผู้กำกับที่สร้างชื่อจากหนังซูเปอร์ฮีโรเด็กเหลือขอ ในรูปแบบของภาพยนตร์ Found Footage เรื่อง Chronicle แถมยังได้นักแสดงวัยรุ่นที่กำลังจะดัง (และดังจริงในเวลาต่อมา) ไล่ตั้งแต่ Miles Teller (Whiplash) Michael B. Jordan (Black Panther) Kate Mara (The Martian) และ Jamie Bell (Rocketman) แต่หนังก็ได้กลายเป็นหายนะ ติดหนึ่งในความล้มเหลวสูงสุดตลอดกาลของหนังซูเปอร์ฮีโร เมื่อหนังทำออกมาแบบดูไม่รู้เรื่อง กลวงเปล่าอย่างไม่ต้องรีบูทใหม่คงจะดีกว่า เหตุเกิดเพราะการแทรกแซงการกำกับของค่าย ผู้อำนวยการสร้าง รวมถึงฝีมือที่ไม่ถึงของผู้กำกับ หนังทำรายได้ในสหรัฐไปแค่ 56 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 120 ล้านเหรียญฯ ตอกฝาโลงการมีภาคต่อ ท่ามกลางกระแสออกมาลากไส้ของผู้กำกับที่สาดโคลนใส่ค่ายหนัง แฟน ๆ การ์ตูนจึงได้แต่หวังว่า หนที่ 4 ในมือของ Kevin Fiege จะทำให้หนังออกมาดูเข้าที่เข้าทางที่สุดตั้งแต่เคยมีมา
ตัวร้ายของ F4 จะกลายมาเป็นตัวร้ายสำคัญของ MCU ในเฟสถัดไป
ตัวร้ายหลายตัวที่ปรากฏในฉบับคอมิกส์ของ Fantastic 4 ล้วนมีพลังแก่กล้าและโผล่ไปเป็นตัวร้ายในฉบับการ์ตูนของฮีโรตัวอื่น ๆ เสมอ ซึ่งเมื่อลิขสิทธิ์ในตัวละครกลับมาอยู่ใต้ชายคามาร์เวลแล้ว ย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่จะใช้ตัวร้ายมากมายจากสี่กายสิทธิ์ได้อย่างอิสระ อย่างเช่น กาแล็คตัส ตัวร้ายที่ถูกกล่าวถึงว่ามีพลังมากกว่า Thanos ศัตรูตัวฉกาจของทีม Avengers เสียอีก อย่างไรก็ตาม ตัวร้ายที่มีชื่อเสียงที่สุดของ F4 ก็หนีไม่พ้นด็อกเตอร์ดูมซึ่งปรากฏตัวอยู่ทั้ง 4 เรื่องใน 3 ฉบับของหนังสี่กายสิทธิ์มาโดยตลอด
ขณะเดียวกันก็มีข่าวออกมาอีกว่าหนังแยกเดี่ยวของด็อกเตอร์ดูมก็กำลังถูกพัฒนาโดยผู้สร้างซีรีส์ดัง Legion อย่าง Noah Hawley ที่เพิ่งมีผลงานกำกับหนังของ Natalie Portman เกี่ยวกับนักบินอวกาศหญิง ชื่อเรื่อง Lucy in the Sky ในปีนี้ รวมถึงได้มีการประกาศชื่อเขาเป็นผู้กำกับของ Star Trek ภาค 4 ภายใต้การควบคุมงานสร้างของ J.J. Abrams แล้วเรียบร้อย ซึ่งก็อาจทำให้ Hawley ต้องถอนตัวจากหนังด็อกเตอร์ดูมไปก็เป็นได้
พล็อตของฉบับใหม่ สี่กายสิทธิ์อยู่ร่วมยุคกับแฮงค์ พิมจาก Ant-Man
หนึ่งในพล็อตที่เคยมีข่าวลือออกมาว่า Marvel Studio จะใช้ในการเกริ่นนำ Fantastic 4 ฉบับใหม่นั้น คือการให้สี่กายสิทธิ์ไปอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับแฮงค์ พิมพ์ หรือ Ant-Man คนแรกในวัยหนุ่ม ซึ่งนั่นหมายความว่า จะต้องย้อนไปเล่าเรื่องในยุค 60s กันเลยทีเดียว โดยจะเปลี่ยนที่มาของการได้พลังวิเศษเข้าสู่ร่าง จากฉบับภาพยนตร์ทุกเวอร์ชันที่ดูดซับพลังจากรังสีแกมม่าระหว่างเดินทางสู่อวกาศ มาเป็นพลังที่ได้จากการทดลอง ถ้าอ้างอิงตามฉบับคอมิกแล้ว เป็นไปได้ที่หนังจะหยิบ “มิติด้านลบ” (Negative Zone) ที่เคยปรากฏในเนื้อหาในคอมิกของ F4 มาแล้ว มิติด้านลบถูกค้นพบโดยรีด ริชาร์ด จึงเป็นไปได้อีกที่หนังจะให้ริชาร์ดและพิมเป็นเพื่อนนักวิทยาศาสตร์กัน (มิติด้านลบเป็นคนละมิติกับมิติควอนตัมที่ตัวละครเจเน็ต คนรักของแฮงค์เข้าไปติดอยู่เป็นสิบปี) และเมื่อกาลเวลาผ่านไป สี่กายสิทธิ์จึงจะหลุดออกมาในโลกยุคปัจจุบัน
มิติควอนตัมเป็นมิติแรกที่ถูกแนะนำในโลกภาพยนตร์กับหนัง Ant-Man และได้กลายเป็นมิติสำคัญที่ถูกนำมาใช้เล่าใน Avengers: Endgame แต่มิติของหมอแปลกหรือ Doctor Strange ก็เป็นอีกมิติที่ได้ถูกเล่าไปแล้วในภาค 1 และคงถูกขยายความเพิ่มขึ้นในภาค 2 In the Multiverse of Madness ฉายปี 2021 ด้วย ซึ่งมิติด้านลบก็จะกลายเป็นมิติพิเศษที่ 3 ที่อาจถูกแนะนำในหนัง F4
จอมวายร้ายอีกตัวที่อาจจะมา Annihilus ผู้เป็นใหญ่ในมิติด้านลบ
และก็เคยมีข่าวลือว่า ตัวร้ายสุดโหดตัวต่อไปที่จะมีบทบาทกันไปยาว ๆ ก่อนจะไปสรุปจบในหนังรวมพิเศษเช่นเดียวกับที่ Avengers ทั้ง 4 ภาคตลอด 10 ปีใช้กับ Thanos คือ Annihilus ซึ่งสัมพันธ์กับเหตุการณ์ล้างบางเผ่าพันธุ์เหล่าฮีโร หรือที่เรียกว่า Annihilation (เคยมีข่าวลือในกลุ่มแฟนคลับด้วยซ้ำว่า ก่อนจะมาเป็นชื่อ Endgame นั้น Avengers ภาค 4 เคยจะถูกใช้ชื่อว่า Annihilation) ซึ่งในฉบับคอมิกส์นั้น ผู้อยู่ร่วมในเหตุล้างบางครั้งนี้มีตัวละครมากมายจาก Guardian of the Galaxy เช่น แดร็กซ์ พวกโนวาคอร์ป ดาวเคราะห์แซนดาร์ เผ่าพันธุ์สครูล ซึ่งอาจเชื่อมโยงในหนังที่ต้อง cross over กันในเฟสถัด ๆ ไป
ผู้กำกับ Ant-Man เคยเอาไอเดียเข้าไปขายค่าย Fox แต่ไม่ผ่าน
ผู้กำกับ Ant-Man ทั้ง 2 ภาคอย่าง Payton Reed เคยออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2015 ว่า ในตอนปี 2003 (ก่อนหน้าที่หนังฉบับปี 2005 จะออกฉาย ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Fox เตรียมงานสร้าง) Reed นำสคริปต์ที่เขาเขียนเอง เล่าเกี่ยวกับ Fantastic 4 ในยุค 60s เหล่ากายสิทธิ์จะต้องไปทำภารกิจลับสุดยอดในฐานะซูเปอร์ฮีโร แน่นอนว่าสคริปต์เขาขายไม่ผ่าน ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นฉบับของ Reed เป็นหนังไปแล้ว แต่เราก็ได้เห็นบางไอเดียจากสคริปต์ของเขาในหนังมนุษย์มดเช่น การย้อนไปเล่าบางเหตุการณ์ในยุค 60s หรือการทำภารกิจลับสุดยอดของแฮงค์ พิมในหนังทั้งสองภาคไปแล้ว และก็คงจะแปลกน่าดูถ้า F4 ฉบับรีบูทจะกลับมาเล่าเรื่องนี้ซ้ำสอง รวมถึง Reed ก็คงไม่อยากกลับมากำกับ Fantastic 4 เหมือนตอนปี 2003 แล้วด้วย (ไปทำ Ant-Man 3 ดีกว่า)