[รีวิว] Jumanji: Next Level เพิ่มดราม่าเสียนิด ลดเสียงฮาลงหน่อย อร่อยกำลังเหมาะ

[รีวิว] Jumanji: Next Level เพิ่มดราม่าเสียนิด ลดเสียงฮาลงหน่อย อร่อยกำลังเหมาะ

[รีวิว] Jumanji: Next Level เพิ่มดราม่าเสียนิด ลดเสียงฮาลงหน่อย อร่อยกำลังเหมาะ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
อีกหนึ่งหนังที่ต้องฉวยโอกาสน้ำขึ้นให้รีบตักของจริง เพราะผู้สร้างเองก็ไม่น่าจะคาดคิดว่าหนัง Jumanji: Welcome to the Jungle (2017) ที่สานต่อจากหนังแฟนตาซีปี 1995 Jumanji จะสามารถฮิตได้ระเบิดระเบ้อเพียงนี้ รายได้ทั่วโลก 962 ล้านเหรียญ อีกนิดเดียวจะแตะพันล้านเหรียญแล้วเชียว หนังภาคต่อก็เลยถูกเข็นตามหลังออกมาภายใน 2 ปี หนังเพิ่งเปิดกล้องเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เอ๊ง แล้วก็ปิดกล้องเมื่อพฤษภาคม จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนหลังการถ่ายทำแบบเร่งด่วนเพื่อให้ทันออกฉายธันวาคมนี้ บ้านเราฉายชนกับ Star Wars : Rise of the Jedi แต่ที่อเมริกาได้ฉายก่อนสัปดาห์นึง ก่อนที่สตาร์วอร์สจะมาแชร์โรงฉาย
อควาฟินา ตัวเสริมความฮาในภาคนี้

อควาฟินา ตัวเสริมความฮาในภาคนี้

ภาคนี้ได้ทีมงานเดิมกลับมากันพร้อมหน้าทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง มีเพิ่มเติมหน่อยก็ที่ เจค คาสดาน ผู้กำกับลงไปร่วมเขียนบทเองด้วยในภาคนี้ ทีมงานน่าจะสนุกกับการเลือกหยิบจุดเด่นที่คนดูชอบจากภาคแรกมาใส่ในภาคนี้ได้ครบถ้วน ทั้งเรื่องความสามารถพิเศษ และจุดอ่อนของแต่ละคาแรกเตอร์ในเกม และมีการอ้างอิงถึงเหตุการณ์เด่น ๆ ในภาคก่อนอยู่บ่อยครั้ง บางมุกก็อิงจากเหตุการณ์ในภาคที่แล้วอีกด้วย ถ้าใครไม่เคยดูภาคที่แล้วความสนุกจะหายไปเยอะเชียวล่ะ และอีกหลาย ๆ สีสันที่เพิ่มเติมเข้ามาในภาคนี้ ทั้งตัวละครใหม่ ๆ ฉากใหม่ ๆ ที่ภาคนี้ไม่อยู่ในป่าแล้ว แต่พาไปตะลุยทะเลทราย และพาไปปีนภูเขาหิมะ ทำให้หนังต้องเพิ่มงบประมาณมาใช้ในงานซีจีอีกมาก โดยเฉพาะฉากฝูงลิงโจมตี และฉากนกกระจอกเทศวิ่งไล่ ซึ่งทั้งสองฉากเป็นฉากที่สนุกตื่นเต้นของภาคนี้เลยล่ะ ทำให้งบประมาณของภาคนี้โดดไปเป็น 125 ล้านเหรียญ ภาคที่แล้ว 90 ล้านเหรียญ

แดนนี โกลเวอร์ และ แดนนี เดอวิโต สองรุ่นใหญ่ มาเสริมทีม

แดนนี โกลเวอร์ และ แดนนี เดอวิโต สองรุ่นใหญ่ มาเสริมทีม

สองรายหลักที่ถูกเพิ่มเข้ามาแล้วถูกใช้เป็นองค์ประกอบหลักในภาคนี้คือ แดนนี เดอวิโต และ แดนนี โกลเวอร์ สองนักแสดงอาวุโสจากยุค 80s หลาย ๆ คนน่าจะจำแดนนี เดอวิโต ได้จากบท เพนกวิน ตัวร้ายจากหนังแบทแมน Batman Returns ปี 1992 และได้ประกบคู่กับ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ใน Twins หนังคอมมีดี้ปี 1988 , ส่วน แดนนี โกลเวอร์ ก็มีบทบาทจดจำคือ จ่าเมอร์ทัฟ จากแฟรนไชส์ Lethal Weapon ที่ได้ประกบคู่กับ เมล กิ๊บสัน ทั้งสองรายมาในสภาพคุณตาสูงวัยที่เดินกระย่องกระแย่ง ทั้งคู่ได้เปิดตัวในช่วงต้นเรื่องแพร้บนึง แดนนี เดอวิโต มาในบท เอ็ดดี้ คุณตาของสเปนเซอร์ ตัวเอกจากภาคก่อน ส่วน แดนนี โกลเวอร์ มาในบท ไมโล เพื่อนเก่าแก่ของเอ็ดดี้ ที่มีเรื่องราวหมางใจกันในอดีต ทั้งคู่บังเอิญโดนดูดไปร่วมผจญภัยในเกม Jumanji รอบใหม่นี้ ซึ่งระหว่างที่หนังเดินหน้าไปก็ค่อย ๆ เผยเหตุหมางใจของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่คู่นี้

หนีลิงแอฟริกาบนสะพานแขวน หนึ่งในฉากสุดระทึก

หนีลิงแอฟริกาบนสะพานแขวน หนึ่งในฉากสุดระทึก

การที่ได้สองรุ่นใหญ่นี้มาเป็นแม่แบบก็นับว่าเป็นสีสันใหม่ของภาคนี้ เพราะเราได้เห็น ดเวย์น จอห์นสัน ที่ต้องเลียนแบบบุคลิกของ แดนนี เดอวิโต ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าดเวย์นดูพยายามดี แต่ที่ฮากว่า เควิน ฮาร์ต ที่ต้องเลียนแบบบุคลิกของ แดนนี โกลเวอร์ ที่พลิกบทบาทจากรายที่พูดมากเสียงแหลม ๆ มาเป็นคนพูดช้า ๆ เนิบ ๆ แล้วพอนำไปใช้ในฉากคับขันที่ทุกคนต้องคอยฟังไมโลค่อย ๆ เอ่ยแต่ละคำก็ชวนลุ้นและฮาดี

อควาฟินา เป็นคาแรกเตอร์ใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้าในภาคนี้ในบท “หมิง ตีนแมว” ที่เธอต้องเจอโจทย์ยากด้วยการแสดงเลียนหลาย ๆ คาแรกเตอร์ต้นแบบ เพราะอีกสีสันหนึ่งที่เติมเข้ามาในภาคนี้ คือคาแรกเตอร์ในเกมสามารถสับเปลี่ยนตัวตนกันได้ บรรดานักแสดงแต่ละคนก็เลยต้องเปลี่ยนบุคลิกกันสนุกสนาน แล้วก็เพิ่มช่องให้สอดแทรกมุกฮาได้มากขึ้น

กองทัพนกกระจอกเทศไล่ล่า ฉากที่ขายงานอลังการซีจี

กองทัพนกกระจอกเทศไล่ล่า ฉากที่ขายงานอลังการซีจี

รายใหม่ในภาคนี้ที่หลายคนคุ้นหน้ากันดีก็คือ รอรี แม็กเคน ที่รู้จักกันดีในบท เดอะ ฮาวนด์ จาก Game Of Thrones ก็ถูกใส่เข้ามาในบท “ไอ้เคราโหด” ตัวร้ายของภาคนี้ แต่ Jumanji คือหนังแฟนตาซี-คอมมีดี้ นี่นะ บรรดาตัวร้ายในหนังก็เลยไม่อยู่ในสถานะที่น่ากังวลกับเหล่าฝ่ายดีเท่าใดนัก ลดสถานะมาเป็นตัวประกอบที่ทำให้เรื่องราวเดินหน้าไปได้แค่นั้น แต่อารมณ์ในภาคนี้ที่ผิดแผกไปอย่างเห็นได้ชัด คือสัดส่วนด้านดราม่าของหนังที่กินพื้นที่ในเรื่องราวพอควร ทั้งดราม่าระหว่างเพื่อนรักรุ่นดึก เอ็ดดี้กับไมโล ที่ทำได้ซึ้งเล็กน้อย เพราะเป็นการเปิดใจกันผ่านภาพลักษณ์ของคาแรกเตอร์ในเกม ที่้ต้องพึ่งจินตนาการของผู้ชมพอควร และดราม่าระหว่างรุ่นเยาว์ของ สเปนเซอร์และมาร์ธา ที่เป็นฉากเดียวในหนังที่ชวนตะขิดตะขวงใจ ทำมั้ยต้องมาเคลียร์ปัญหาใจกันระหว่างที่ไต่หน้าผาอยู่ด้วยนะ

สรุป จุดขายจากภาคก่อนหน้ามาครบ เพิ่มเติมสีสันใหม่ ๆ อีกมาก ดูได้เพลิดเพลินตลอด 2 ชั่วโมง ได้ทั้งลุ้นและเสียงหัวเราะ และได้ดูภาพซีจีอลังการ ฉากหนีฝูงลิงบนสะพานแขวนเป็นฉากที่สนุกสุดแล้วในภาคนี้ แต่ถ้าชั่งน้ำหนักรวมแล้วความฮาน้อยกว่าภาคแรก แต่ใครที่ได้ดูภาคก่อนแล้ว ภาคนี้ก็ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หนังมีฉากหลังเครดิตจบแบบไม่ต้องนั่งรอนะครับ เป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงไปภาคต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook