รีวิว Jumanji: The Next Level ชีวิตคือการเรียนรู้

รีวิว Jumanji: The Next Level ชีวิตคือการเรียนรู้

รีวิว Jumanji: The Next Level ชีวิตคือการเรียนรู้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

การยืนโรงฉายอย่างยาวนานร่วมเกือบ 1 เดือนเต็มของ Jumanji: The Next Level (รวมช่วงเวลา Sneak Preview) พอจะบ่งบอกถึงการตอบรับของผู้ชมที่ให้ความสนใจกับแฟรนชายส์ชุดนี้ จริงอยู่ที่จุดประสงค์หลักของหนังเรื่องนี้คือการสร้างความบันเทิง ตื่นเต้น และเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม แต่สิ่งที่แทรกสอดอยู่ในความสนุกสนานเหล่านี้ คือแนวคิดในการใช้ชีวิตที่ให้คนดูสามารถเก็บกลับบ้านไปมองย้อนตัวเองได้เช่นกัน

 

จุดเริ่มต้นของเกมในภาคนี้ เกิดขึ้นจากการที่สเปนเซอร์ (อเล็กซ์ วูลฟ์) ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในนิวยอร์ก ระยะทางอันห่างไกลส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเขาและมาร์ธา (มอร์แกน เทอร์เนอร์) สเปนเซอร์รู้สึกห่อเหี่ยวและไม่มีความสุขกับชีวิต เมื่อปีใหม่ใกล้เข้ามา สเปนเซอร์จึงเดินทางกลับบ้านเพื่อไปพบปะเพื่อนฝูงและครอบครัว แต่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาโหยหาช่วงเวลาที่เขาเคยสวมร่างเป็น ดร.สโมลเดอร์ เบรฟสโตน (ดเวย์น จอห์นสัน) นักผจญภัยควบนักโบราณคดีผู้กล้าหาญ ฮีโรนักบู๊กล้ามใหญ่ ในเกมจูแมนจี้ เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองสามารถจะทำอะไรก็ได้ที่ใจฝัน

 

(มีการเปิดเผยเรื่องราวในหนัง)

 

 

เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเรื่อง ผู้ชมจะได้ทราบว่า สเปนเซอร์ที่ชิงเข้ามาในเกมก่อนใคร กลับกลายเป็นว่าเขาไปอยู่ในร่างอวตารของหมิง (อคาวฟีน่า) นักล้วงกระเป๋าและจอมโจรที่สามารถงัดเซฟได้เก่งกว่าใครเพื่อน บทเรียนจากเกมจูแมนจี้ครั้งนี้ได้สอนเขาว่า ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ตามใจฝันเสมอไป เพราะโลกมีการเปลี่ยนเปลงอยู่ตลอดเวลา การปรับตัวเท่านั้นคือสิ่งที่จะทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หน้าที่ของเราคือการทำความเข้าใจถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เรียนรู้และเติบโตไปกับมัน

 

 

นอกจากตัวละครสเปนเซอร์แล้ว 2 ตัวละครใหม่อย่าง เอ็ดดี้(แดนนี เดอวีโต้) คุณปู่ของสเปนเซอร์ ผู้อยู่ในร่างอวาตารของเบรฟสโตน ในขณะที่ไมโล (แดนนี โกลเวอร์) อดีตหุ้นส่วนทางธุรกิจและเพื่อนผู้ห่างเหินของเอ็ดดี้ ผู้มาอยู่ในร่างอวาตารของเมาส์ ฟินบาร์ จากชายชราสองคนที่ได้กลับมาเดินเหินอย่างคล่องแคล่วว่องไวอีกครั้ง ทำให้ทั้งคู่รู้สึกกระปรี้กระเปร่า อย่างที่ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนี้มานานมากเหลือเกิน แต่สองตัวละครนี้ก็ทำให้คนดูเห็นว่า ถึงแม้เขาจะอยู่ในร่างที่หนุ่มแน่น แต่ระบบความคิดที่แก่ตัวแล้ว ก็ทำให้ทั้งสองไม่อาจจะทำความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว อย่างเช่นคนหนุ่มสาว

 

 

เมื่อถึงจุดสำคัญที่หนังได้เผยให้คนดูทราบว่า อีกไม่นานนักไมโล อาจจะต้องป่วยและเสียชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง เขาจึงเลือกที่จะอยู่ในร่างอวตารของม้าดำ (ภายหลังจากการสลับร่างอวตารของไมโลกับเบธานีย์) และเรียนรู้การใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งในเกมจูแมนจี้ต่อไป อย่างน้อยเขาก็ยังรู้สึกว่าชีวิตในร่างใหม่ยังมีอะไรให้เขาได้เรียนรู้ตลอดเวลา

 

ฉากสำคัญอีกฉากที่เอ็ดดี้ได้นั่งคุยกับหลานอย่างสเปนเซอร์ว่า “ความชรานั้นจริงๆแล้วคือของขวัญของชีวิต” คือการทำความเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ ว่ามนุษย์นั้นล้วนแล้วแต่ต้องผ่านช่วงเวลามากมาย อุปสรรคต่างๆคือบททดสอบที่ทำให้ชีวิตของเราทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้นนั่นเอง

 

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook