The End of the F***ing World จุดจบของโลกห่วย ๆ ที่ไม่ห่วยอย่างที่คิด

The End of the F***ing World จุดจบของโลกห่วย ๆ ที่ไม่ห่วยอย่างที่คิด

The End of the F***ing World จุดจบของโลกห่วย ๆ ที่ไม่ห่วยอย่างที่คิด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปล่อยมาได้สักพักแล้วสำหรับภาค 2 ของ The End of the F***ing World โลกมันห่วย ช่วยไม่ได้ ซีรีส์ตลกร้าย (Dark-comedy) จากอังกฤษโดย Netflix ที่ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหลัก ๆ แค่ 2 ตัวอย่าง James เด็กหนุ่มวัย 17 ปีที่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนโรคจิตที่ชอบฆ่าสัตว์ เมื่อเริ่มเบื่อแล้วจึงอยากลองฆ่ามนุษย์ดูบ้าง จึงได้ไปคบกับ Alyssa เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่มีความคิดสุดโต่ง ก๋ากั่น และไม่แยแสสังคมแบบสุด ๆ เรื่องวุ่น ๆ เริ่มเกิดขึ้นเมื่อ Alyssa ชวน James หนีไปด้วยกันอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งภาคแรกจบแบบเซอร์เรียลสุด ๆ และปลายเปิดมาก ๆ ชนิดที่ว่าจะจบแบบนี้ก็ฮาร์ดคอร์ดี หรือจะทำภาคต่อเพื่อดูว่าชีวิตของทั้งสองจะเป็นอย่างไรต่อไปก็น่าลุ้นสุด ๆ เช่นกัน

แน่นอนว่าบทความนี้เราจะไม่สปอยล์เนื้อเรื่องของทั้ง 2 ภาค ดังนั้นใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็สบายใจได้ เพราะเราอยากให้ทุกคนได้เข้าไปทำความรู้จักกับโลกห่วย ๆ ของสองคนนี้ักันอย่างเต็มที่ จะบอกว่าเป็นซีรีส์อินดี้ไหม ก็อาจจะใช่ แต่เนื้อเรื่องดูยาก ทำความเข้าใจยากไหม ขอบอกว่าไม่เลย การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างเรียบง่าย การตัดต่อกระชับฉับไวไม่เยิ่นเย้อ และเนื่องจากเป็นซีรีส์ขนาดสั้น 8 ตอนจบใน 1 ซีซั่น (ตอนละประมาณ 30 นาที) คอซีรีส์ของ Netlfix รับรองว่าใช้เวลาแค่วันหยุดวันเดียวก็ดูจบไปได้ง่าย ๆ

แต่ถ้าใครอยากดูตัวอย่างซีรีส์ของภาค 2 (มีสปอยล์) และใครที่ดูภาค 1 แล้วอยากทบทวนเนื้อเรื่องของภาค 1 ก่อนดูภาค 2 สามารถดูคลิปด้านล่างได้เลย

teotfw_netflixww_s02_ep3_014.Netflix

eotfwapr04ep1tf290Netflix

teotfw_netflixww_s02_ep3_015.Netflix

มาถึงเนื้อเรื่องของ The End of the F***ing World ภาค 2 ที่เนื้อเรื่องพูดถึงวิธี “มูฟออน” ของทั้ง James และ Alyssa ว่าดำเนินชีวิตกันอย่างไรต่อไป แต่เรื่องวุ่น ๆ ที่ทำให้ลุ้นกันตัวโก่งตลอดทั้งซีซั่นนี้ มาจากตัวละครใหม่อย่าง Bonnie ที่แน่นอนว่าชีวิตถูกเลี้ยงดูมาแบบไม่ธรรมดา เติบโตมาในครอบครัว perfectionist ที่ลูกสาวคนเดียวของบ้านต้องอยู่ในกรอบตลอดเวลา การถูกเลี้ยงท่ามกลางความกดดันทำให้ Bonnie เปลี่ยนไปจากเด็กเรียนเก่งสู่การเป็นเด็กสอบตกไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย คีย์เวิร์ดประจำชีวิตของเธอคือ “ฉันเรียนรู้ว่าการ ‘ลงโทษ’ เกิดจากความรัก” และเธอเป็นคนเข้ามาสานต่อความวุ่นวายให้กับชีวิตของ James และ Alyssa ชนิดที่ว่าคนดูต้องลุ้นไปกับการกระทำของเธอในทุกนาทีว่าเธอคิดจะทำอะไร และทำสำเร็จหรือไม่

ภาคนี้โลกของตัวละครหลักทั้ง 3 คนอย่าง James, Alyssa และ Bonnie ยังคงเป็นโลกห่วย ๆ อยู่เหมือนเดิม ที่ชีวิตไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ ขาดการเลี้ยงดูและเอาใจใส่อย่างถูกต้องของผู้ปกครอง เปลี่ยนชีวิตเด็กทั้ง 3 คนให้ต้องเผชิญกับความอ้างว้าง โดดเดี่ยว จนหันเหไปทำในเรื่องที่ไม่ควรทำ และเมื่อเรื่องถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มที่จะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ และทุกอย่างก็เริ่มจะสายเกินแก้ แต่สิ่งที่ดีคือ ในภาค 2 เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครทั้ง James และ Alyssa ที่ถึงแม้ว่าจะยังหุนหันพลันแล่น ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองไปบ้าง แต่ก็ยังคิดได้ และกลับตัวทัน มีความเป็นผู้ใหญ่ในทุก ๆ การตัดสินใจให้เราได้เห็นกันเรื่อย ๆ จนเราลืมไปแล้วว่า James เคยเป็นเด็กชอบฆ่าสัตว์ และ Alyssa เคยเป็นเด็กขวางโลก และไม่แยแสสังคมมากแค่ไหนมาก่อน

groupteotfw2nd-1-22copyNetflix

teotfw_netflixww_s02_ep5_007.Netflix

The End of the F***ing World ภาค 2 ยังคงเป็นซีรีส์ตลกร้ายสไตล์อังกฤษที่คุมโทนความ “ตลกแต่ขำไม่ออก” เอาไว้ได้เป็นอย่างดีเหมือนเดิม และการดำเนินเรื่องของภาค 2 ที่เชื่อมโยงต่อจากภาคแรกได้เป็นอย่างดี ก็ทำให้แฟน ๆ ได้รับอรรถรสอย่างเต็มที่ เนื้อเรื่องเล่าง่าย ย่อยง่าย ไม่ซับซ้อน แม้ว่าจะไม่ใช่หนัง feel good สักเท่าไร แต่เชื่อว่าถ้าดูจนจบ เราก็จะสามารถบอกตัวเองได้ว่า จริง ๆ แล้วโลกของพวกเขาก็ไม่ได้แย่นัก เพียงแต่อาจจะเจอกับเรื่องร้าย ๆ ที่เริ่มต้นมาจากปัญหาครอบครัวมากเกินไปตั้งแต่ตอนแรกเท่านั้นเอง

นอกจากการแสดงของตัวละครหลักในเรื่องที่อย่าง Alex Lawther (รับบทเป็น James) และ Jessica Barden (รับบทเป็น Alyssa) เล่นได้สมจริงจนทำให้เราทั้งรักทั้งเกลียดได้อย่างสุด ๆ รวมถึงตัวละครใหม่ Naomi Ackie (รับบทเป็น Bonnie) ที่ทั้งน่าสงสารและน่ากลัวในเวลาเดียวกันแล้ว ถือว่า The End of the F***ing World ยังคงเป็นซีรีส์ coming of age ที่เล่าถึงความนึกคิดของวัยรุ่นโดยปราศจากคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ เป็นวัยรุ่นคิดเองเออเองแบบ 100% เพราะผู้ใหญ่รอบตัวไม่มีใครที่พวกเขาไว้ใจหรือขอความช่วยเหลือได้ สุดท้ายแล้วพวกเขาเลือกที่จะเรียนรู้ทุกอย่างจากการกระทำของตัวเอง และต้องรับกับผลของการกระทำที่ตามมาด้วยตัวเองในแบบที่ค่อนข้างจะโหดร้ายเกินไปสักหน่อยสำหรับเด็กอายุ 17-18 ปี แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังเห็นถึงความพยายามของครอบครัวของเด็ก ๆ ที่เรียนรู้จากความผิดพลาดเมื่อครั้งก่อน ๆ และพยายามทำให้มันดีขึ้น จึงกล่าวได้เป็นเป็นซีรีส์ที่พูดถึงเรื่องของครอบครัวได้อีกเช่นกัน และยังคงบอกเป็นนัย ๆ อีกด้วยว่า “ผู้ใหญ่เองก็ทำพลาดในชีวิตได้เหมือนกัน”

The End of the F***ing World ภาค 2 เป็นบทสรุปของไอเดียที่ว่า “เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย” ยิ่งไม่มีผู้ปกครองที่พึ่งพาได้ยิ่งเหนื่อย แต่ท้ายที่สุดหากเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองแล้วพยายามปรับตัวให้ดีขึ้น ไม่มีอะไรที่สายเกินไปอย่างแน่นอน


The End of the F***ing World มีทั้งหมด 2 ซีซั่น (จบบริบูรณ์) ซีซั่นละ 8 ตอน ตอนละประมาณ 30 นาที ชมได้ใน Netflix แล้วเรามาพิสูจน์ไปพร้อม ๆ กันว่าชีวิตของเด็ก ๆ ทั้ง 3 คนนี้ กับชีวิตของเรา ชีวิตใครจะห่วยกว่ากัน

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ The End of the F***ing World จุดจบของโลกห่วย ๆ ที่ไม่ห่วยอย่างที่คิด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook