The Call of the Wild การกลับมาของหนังผจญภัยที่ฉากหลังเป็น “ยุคตื่นทอง”

The Call of the Wild การกลับมาของหนังผจญภัยที่ฉากหลังเป็น “ยุคตื่นทอง”

The Call of the Wild การกลับมาของหนังผจญภัยที่ฉากหลังเป็น “ยุคตื่นทอง”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

The Call of the Wild คือหนังแนวผจญภัยซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายของแจ็ค ลอนดอน ซึ่งบอกเล่าการเดินทางของสุนัขลากเลื่อนที่ได้เรียนรู้ชีวิตผ่านการเดินทางครั้งใหญ่ นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ด ,โอมาร์ ซาย, แดน สตีเวนส์ , คาเรน กิลเลี่ยน และแบรดลีย์ วิทฟอร์ด

 

 

ยุคตื่นทองคืออะไร

 

ยุคตื่นทอง (Gold Rush) ในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 19 ชายที่ชื่อจอห์น ซุทเธอร์ คือผู้บุกเบิกการขุดทองในเมืองโคโลม่า รัฐแคลิฟอร์เนีย บริเวณริมแม่น้ำของอเมริกา การค้นพบทองในเดือนมกราคม ปี 1848 ส่งผลให้ข่าวแพร่สะพัดออกไป และทำให้ผู้คนจำนวนมากกว่าสามหมื่นคนหลั่งไหลเข้ามาเพียงเพราะคาดหวังจะเป็นเศรษฐี บางคนที่พบทองก็ร่ำรวยกันไป คนที่ไม่เจออะไรก็ล้มเหลวยากจนต่อไป หรือกระทั่งล้มตาย หรือถูกฆ่าตาย โดยตลอดเส้นทางนับร้อยไมล์ที่ทอดยาวมาถึงแคลิฟอร์เนีย ทำให้เกิดการตั้งบ้านเรือนจนกลายเป็นชุมชน จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิของปี 1860  ได้ มีการสร้างทางรถไฟเชื่อมจากทางตะวันออกไปยังตะวันตก

 

พื้นที่ที่มีการพบแร่ทองคำ ในบางที่ได้กลายเป็นเหมืองแร่ ธรรมชาติในละแวกนั้นจะค่อยเปลี่ยนแปลงทีละน้อย จะมีการโค่นต้นไม้ แผ้วถางป่า ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อม จากพื้นที่ว่างเปล่ากลายเป็นชุมชนที่มั่งคั่ง ซานฟรานซิสโกที่เคยเป็นเมืองเก่าของชุมชนสเปนในอดีต กลายเป็นศูนย์กลางการค้าของยุคตื่นทอง และภายหลังจากนั้นยังกลายเป็นแหล่งที่คนงานชาวจีน ถูกเกณฑ์มาเพื่อเป็นแรงงานให้กับคนอเมริกัน และอนาคตต่อมาพวกเขาจึงได้ตั้งชุมชนชาวจีนที่คนทั่วโลกรู้จักกันในนาม “ไชน่าทาวน์” และนี่คือประวัติศาสตร์ฉบับย่นย่อของยุคตื่นทอง

 

 

จากตำนานสู่นิยาย

 

ก่อนหน้าการตีพิมพ์ในรูปแบบนิยายขนาดสั้นในปี 1903 การผจญภัยของแจ็ค ลอนดอน ตำนานเกี่ยวกับสุนัขที่ชื่อ บั๊ค ถูกพิมพ์เป็นรายตอนในนิตยสาร “The Saturday Evening Post” หนังสือเรื่องนี้ ที่ได้รับการแปลใน 47 ภาษา ได้รับการตีพิมพ์อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่นั้นมา นับเป็นตัวอย่างของวรรณคดีอเมริกันคลาสสิกอมตะโดยแท้

 

สาเหตุที่ The Call of the Wild กลายเป็นส่วนหนึ่งของวรรณคดีอเมริกันที่ยิ่งใหญ่มันเข้าถึงผู้คนมากมายในระดับต่างๆ กัน มันเป็นเรื่องราวการเดินทางผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ตามแบบฉบับของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน และเล่าให้ผู้คนฟังเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ในอเมริกาเหนือที่พวกเขาเคยได้ยิน แต่เคยแต่เห็นภาพเท่านั้น เคยมีกระแสในอเมริกาเกี่ยวกับการตื่นทองที่คลอนไดค์ หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ผู้คนไม่ได้ตระหนักด้วยซ้ำไปว่า ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นจากน้ำแรงของเจ้าตูบสี่ขา

 

 

จากนิยายถูกบอกเล่าเป็นภาพยนตร์

 

สุนัขตัวละครเอกของเรื่องอย่างบั๊ค เป็นสุนัขวัยรุ่นที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งจะมีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของสุนัขทุกตัวที่พวกเขาจะต้องปกป้องตัวเอง ปกป้องฝูง ปกป้องเจ้าของ มันมีสัญชาตญาณแบบหมาป่าภายในตัวพวกเขา ที่บางตัวสามารถเข้าถึงได้อย่างมาก แต่ก็ถูกผลักดันไปยังทิศทางที่ถูกต้อง แล้วคุณก็จะเจอสุนัขอย่างบั๊คที่จะต้องผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายและยากลำบากเพื่อที่จะค้นพบสัญชาตญาณนั้นภายในตัวเอง

 

สาเหตุที่ The Call of the Wild เป็นเรื่องราวคลาสสิคที่อยู่มานานกว่า 100 ปี เพราะมันมีองค์ประกอบของความเป็นสากลที่สามารถเข้าถึงคนทุกชาติได้เหมือนกัน เพราะในเรื่องราวนั้นพูดถึงการสูญเสีย การฟื้นตัวจากความสูญเสีย บ้านและการถูกพรากจากบ้าน และที่อาจจะสำคัญที่สุดคือการค้นหาตัวเองที่ดีกว่าเดิมและแข็งแกร่งกว่าเดิม สุนัขอย่างบั๊คจึงเปรียบเสมือนคนที่ต้องพยายามพัฒนาชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นซึ่งเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ของผู้ชมที่ทรงพลัง

 

แม้ว่าหนังในสไตล์ “สุนัขลากเลื่อน” จะถูกเล่าบนจอภาพยนตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่หนังเหล่ามักจะถูกเล่าจากมุมมองของมนุษย์มากกว่าจะเล่าผ่านตัวเอกอย่างสุนัข The Call of the Wild จึงนำเสนอการบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวละครนี้ด้วยการไม่พึ่งบทสนทนา แต่อาศัยการเล่าเรื่องด้วยภาพ โดยไม่ต้องใช้เสียงบรรยาย และนำเสนอพฤติกรรมและสิ่งที่บั๊คต้องการในทุกฉากทุกตอน เพื่อให้ผู้ชมสามารถติดตามเรื่องราวได้โดยตลอด

 

 

เมื่อตัวละครมนุษย์เป็นแค่เพียงองค์ประกอบเสริมของหนัง

 

ตัวละครที่บั๊คจะได้พบเจอในเรื่องนั้น เมื่อเปรียบเทียบตามชีวิตจริงของมนุษย์แล้ว จะพบว่า มันคล้ายคลึงกับความท้าทายในชีวิตที่ไม่คาดฝัน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้อาจจะทำให้คุณพ่ายแพ้หรือทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นก็ได้ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับบั๊ค แทนที่เขาจะยอมจำนนกับเหตุพลิกผันต่างๆ นี้ บั๊คกลับเดินหน้าไปเรื่อยๆ และท้ายที่สุดแล้ว เขาก็พบที่ของตัวเอง บั๊คไม่ได้แค่มีชีวิตรอดเท่านั้น แต่เขามีชัยชนะ และเขาก็ทำได้โดยที่คงความอ่อนโยนของตัวเองเอาไว้ได้ มันใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องพบเจอในชีวิตเหลือเกิน เพราะเรามักจะไปเจอกับเรื่องราวที่คาดไม่ถึงและไม่แน่นอนแบบนั้นเสมอๆนั่นเอง

 

The Call of the Wild แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวคลาสสิกสมัยเด็ก แต่มันก็ไม่ใช่เทพนิยาย มันเป็นเรื่องราวสมจริงของความอดทนและการเอาชีวิตรอด ที่ไม่ว่าคุณจะอายุน้อยหรือมาก เราก็คงต้องเคยเจอกับอะไรแบบนี้มาบ้าง ผู้ชมจะรู้สึกได้ว่าเรื่องราวนี้มีความจริงในแบบที่ตัวเองก็เคยพบเจอมา และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่องราวนี้เป็นอมตะ เป็นเรื่องราวของตัวละครที่ค้นพบความเข็มแข็งที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าตัวเองมีอยู่ภายในนั่นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook