[รีวิว] Onward น้องพี่ที่รักฉบับแฟนตาซี ที่คุ้มค่ากับการฝ่าโควิดไปดู
Onward งานสตูดิโอแอนิเมชันในจักรวาลของ Walt Disney Pictures และ Pixar Animation Studio โดยถือเป็นงานแอนิเมชันชิ้นใหม่ของ Pixar ในยุคหลัง John Lasseter ผู้ก่อตั้งรุ่นบุกเบิกอย่างเต็มตัว โดยได้ Dan Scanlon จาก Monsters University มานั่งแท่นกำกับ พร้อมกับสองดาราจักรวาลมาร์เวลอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) และ คริส แพรตต์ (Chris Patt) มารับบทพากย์เสียงในตัวละครหลักของแอนิเมชันเรื่องนี้ด้วย
Onward เป็นดินแดนของโลกจินตนาการที่มีทั้งชาวเอลฟ์ โทรลล์ และเทวดาอาศัยอยู่ โดยในอดีตของดินแดนแห่งนี้ เป็นดินแดนที่ ‘เวทมนตร์’ นั้นมีอยู่จริงและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในอดีต แต่ด้วยวันเวลาที่เปลี่ยนไป ดินแดนแห่งนี้ก็ถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งทำให้เวทมนตร์ค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งขนาดที่ว่าสัตว์ชั้นสูงในจินตนาการที่เคยโลดแล่นสง่างามอย่าง ม้ายูนิคอร์น ก็กลายมาเป็นสัตว์บ้าน ๆ ที่ออกมาคุ้ยกองขยะหาของกิน หรืออยู่ตามท่อซะงั้น (ฮา)
อย่างไรก็ตามการผจญภัยครั้งใหม่เริ่มต้นอีกครั้งในครอบครัวตระกูลเอลฟ์ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเรื่องเริ่มจากคุณแม่ ลอว์เรล ได้มอบได้ของขวัญวันเกิดครบรอบ 16 ปีให้กับ เอียน ลูกชาย ซึ่งมันคือ ‘ไม้เท้าพ่อมด’ ที่พ่อผู้ล่วงลับของพวกเขาทิ้งเอาไว้ให้ แต่แล้วทั้งเอียน (ทอม ฮอลแลนด์) และบาร์ลีย์ (คริส แพรตต์) พี่ชาย ก็ได้พบข้อความในกระดาษแผ่นหนึ่งที่มากับไม้เท้า เป็นการบอกวิธีการใช้มนต์วิเศษที่จะทำให้พ่อของพวกเขาคืนชีพกลับมาแบบตัวเป็น ๆ ได้หนึ่งวันเต็ม ๆ แต่หลังจากที่ร่ายมนต์ไปแล้ว กลับกลายเป็นว่าพ่อของพวกเขาปรากฏตัวออกมาแต่ท่อนล่าง! นั่นทำให้ เอียน และ บาร์ลีย์ ต้องออกตามหาจิ๊กซอว์ที่เหลือในการจะทำให้เวทมนตร์นี้สมบูรณ์แบบเพื่อให้พ่อของพวกเขากลับมาจริง ๆ
ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็น message เรื่องความสัมพันธ์ครอบครัวผ่านการผจญภัยและแก้ปัญหาเบี้ยบ้ายรายทางแบบ road movie ซึ่งในช่วงแรก ๆ ของการปูแบ็คกราวน์ครอบครัว ‘ไลท์ฟุต’ นี้นั้นอาจจะจืดชืดไปนิด แต่เมื่อหนังพาเราไปสัมผัสด้านต่าง ๆ ของตัวละครมากขึ้น โดยเฉพาะพี่น้อง เอียน และ บาร์ลีย์ จะยิ่งเห็นมิติของตัวละครสองตัวนี้ลึกลงไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกเซอร์ไพรส์ ซึ่งหลังจากนั้นทุกอย่างก็ไหลลื่นและดูสนุกขึ้นเยอะจนนึกว่าเป็นหนังคนละเรื่อง (ฮา)
Onward ในสไตล์ของ Pixar ที่ปรากฏในยุค 2020 นี้นอกจากจะไม่ใช่หนังการ์ตูนแฟนตาซีขายฝันจ๋าแล้ว ยังคงเอกลักษณ์เรื่องการจับประเด็นที่ซึมลึกไปถึงผู้ใหญ่ที่เข้มข้นกินใจ บนโลกยุค 4.0 ที่พ่อมดก็ต้องปรับตัว และเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของ Disney เอง เราก็จะได้เห็นตัวการ์ตูน LGBTQ ด้วยในเรื่อง สิ่งที่ชอบมากคือ วิธีเล่า ที่มันพรั่งพรูเมจเซจเชิงบวกหลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง มิตรภาพ ความเข้าใจตัวตนของกันและกัน การเรียนรู้และการให้อภัย และการใช้เวลาทุกนาทีกับครอบครัวและคนรักให้มีคุณค่ามากที่สุด ซึ่งในช่วงท้ายนั้นต้องบอกว่าหนังชวนบีบน้ำตากันเหลือเกิน ซึ่งแม้ว่า Onward อาจไม่ได้มีเส้นเรื่องที่หวือหวา หรือขยี้น้ำตาให้ไหลเป็นก๊อกแบบ Coco แต่ทุกอย่างมันกลับลงตัวและกลมกล่อมกำลังดีมาก หากไม่สนใจถึงความเนือยของหนังในช่วงแรกแล้ว Onward เป็นหนึ่งในหนังแอนิเมชันที่น่าจดจำอีกเรื่องของปีเลย