ยิงสนั่นหวั่นไหว “ละครบู๊” สะท้อนอะไรให้เราดูล่ะแม่?

ยิงสนั่นหวั่นไหว “ละครบู๊” สะท้อนอะไรให้เราดูล่ะแม่?

ยิงสนั่นหวั่นไหว “ละครบู๊” สะท้อนอะไรให้เราดูล่ะแม่?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จะบ้าตายรายวันเอาเสียให้ได้เลยนะคะคุณกิตติขา แต่ละเรื่องที่ผ่านเข้ามาให้เราๆ เธอๆ ได้พบเจอในช่วงเปิดปีมา ทั้งสถานการณ์ไวรัสโคโรนา ลามมายันเหตุบ้านการเมืองที่แบบโอ้โห ท่านๆ เธอๆ นี่เขาก็ขยันทำเรื่องให้เราตาลุกวาว แบบว้าวได้อีก จนบางทีก็เหนื่อยไม่เบาเลยแม่ แต่กระแสหนึ่งที่เทยเห็นว่าหลายๆ คนถามหา คือการ “ปราบโกง” หรือการลุกขึ้นมาเป็นคนดี เราจะต้องหาฮีโร่ใดใดลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างในช่วงเวลาที่มันย่ำแย่ถึงเพียงนี้ 

งั้นก็คงไม่มีอะไรจะตอบแทนภาพสิ่งเหล่านี้ได้ดีไปมากกว่าเหล่า ละครบู๊” แล้วล่ะค่ะคุณกิตติขา เรามาตะมอยเรื่องนี้กันเถอะ

อย่างที่เทยเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่า ละครในบ้านเรา กว่า 80% นำมาจากวรรณกรรมหรือนวนิยายเลื่องชื่อ จากนักเขียนขึ้นหิ้งทั้งหลาย ที่โด่งดังมาตั้งแต่สมัยที่ประเทศเพิ่งพ้นสงคราม หรืออยู่ในยุคสงครามเย็นตั่งต่าง ดังนั้น เนื้อหาของละคร จึงมักวนเวียนอยู่กับการ “ปกป้องทรัพยากร” ของตัวเอง และท้องที่เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเรื่องนี้มันก็พบเจอได้ทั่วไปเลยนะคะ ทั้งในแง่ของการปกป้อง “ของของชั้น” ในแง่ของความสัมพันธ์ แบบนี้คือผู้หญิงของช้า นี่คือสามีของชั้น ตบตีรบราฆ่าฟันกันอร่อย เพื่อพยายามรักษาของที่เป็นของตัว

แต่ก็นะคะ ด้วยความที่ละครที่มันวนเวียนอยู่กับการตบตี ชิงรักหักสวาทในความสัมพันธ์ คนดูที่นั่งอยู่บ้านมันก็เบื่อ ความเข้มข้นของละคร จึงมักเพิ่ม “ระดับความรุนแรง” เข้าไปในเส้นเรื่องชิงรักหักสวาทในความสัมพันธ์ให้มันดูรุนแรงขึ้นไปอีก ตอนท้ายๆ ถึงจุดไคลแมกซ์ขยี้ใจ พระนางของเราก็ต้องเผชิญกับบทท้าทายที่ยากขึ้น เริ่มมีการเจอกับกลุ่มผู้มิอิทธิพล นางร้าย ตัวร้าย เริ่มจ้างวานให้ลักพาตัว เริ่มมียิงกันเปรี้ยงปร้างมากขึ้น เพิ่มอรรถรสของเส้นความสัมพันธ์ให้แซ่บถึงใจ อย่างในบทประพันธ์เรื่อง เมียหลวง​” หรือ “แรงเงา” นี่ก็มีความบู๊สอดแทรกอยู่ตั้งแต่เนื้อต้นฉบับเดิม

แต่ช้าแต่… ละครอ่ะแม่ เมื่อความแซ่บมันเรียกร้องมากขึ้น คนดูต้องการอะไรที่มากกว่า หนังใหญ่ในโรงเค้าระเบิดตูมตามกันได้ฉันใด ทำไมจอเล็กจะทำบ้างไม่ได้ ฉะนั้นก็อย่ารอช้าเลย มาระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันให้อร่อยเถิด กับการจัดทำละครบู๊

แน่นอนว่าละครแอ็กชัน บู๊ล้างผลาญ เราก็มักจะนึกถึง อังกอร์ มาเป็นอันดับแรกๆ ซึ่งเทยก็เคยเขียนไปแล้ว ว่าละครบู๊อย่าง อังกอร์ นั้น ไม่ใช่เพียงความแฟนตาซีเท่านั้น แต่ยังแอบแฝงประเด็นเรื่องคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์เขมรแตกเอาไว้ด้วย ซึ่งต้นฉบับงานสร้างอลังการอย่างอังกอร์ ก็เป็นใครไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ “อาฉลอง ภักดีวิจิตร” ที่ยกกองโปรดักชั่นอย่างที่ตัวท่านเอง ก็เคยวาดลวดลายเอาไว้ในหนังใหญ่อย่างเรื่อง “ทอง” ซึ่งพอคนทำหนังใหญ่อ่ะแม่ ลดตัวเองมาทำงานโปรดักชั่นทีวี ความตื่นตามันก็เลยทะลุจอ และซีรีส์เรื่อง “ทอง” ก็ยังถูกนำมาผลิตภาคต่ออยู่บ่อยๆ 

สิ่งหนึ่งที่ทั้ง “ทอง” และ “อังกอร์” ทำภาพให้เราเห็นเหมือนกัน คือการบุกฝ่าดงลูกรัง รถจี๊ป ฝุ่นตลบเข้าไปในทุ่งป่ากว้าง เพื่อตามหาอะไรซักอย่าง พร้อมกับมีรถจี๊ปของอีกฝ่าย วิ่งตายิงกันประหนึ่งว่าป่านี้มีเพียงเรา ฝูงสัตว์ตื่นตระหนกตกใจกันหมด แต่แน่ล่ะ คนดูก็สนุกกันไปตามๆ กัน และไอ้ความบู๊ในป่านั้น มันก็ดูเป็นเรื่องไกลตัว คือเขาไปยิงกันในป่า ยิงกันในที่ที่ไม่เกี่ยวกับฉันค่ะ

พอเวลาเปลี่ยนไป ในช่วง ปี 2540 ต้นๆ ปลายๆ โฉมหน้าของละครบู๊แอ็กชัน ก็เริ่มเขยิบเข้ามาในสังคมเมืองมากขึ้น ซีรีส์ช่วงนั้นที่เห็นว่าจะได้รับความนิยม ออกแอ็กชันกันสนั่นก็คงหนีไม่พ้น จิตสังหาร-เดือนเดือด-คมคน” ที่เรื่องราวเป็นเรื่องในเมือง และเกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งออกอากาศทางช่อง 7 ในสมัยนั้น ซึ่งเส้นเรื่องที่สำคัญของซีรีส์นั้น ก็คือผู้มีอิทที่มีเส้นสายโยงใยกับอำนาจ นักการเมือง นายทุน ยาเสพติด ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สมัยใหม่และทันเหตุการณ์ปัจจุบันในสมัยนั้นมากแม่ เพราะหากจำกันได้ สมัยนั้นก็มีนโยบายที่ปราบปรามยาเสพติดอย่างถึงเครื่องเช่นกัน ละครก็รับลูกตาม

แต่มรดกจากจิตสังหาร มันก็ไม่ใช่แค่นั้นนะแม่ แต่มันคือการแทรกเอา “พลังเหนือธรรมชาติ” เข้ามาในละครบู๊ด้วย ความพลังจิตความไร เหนือมนุษย์อะไรก็แทรกเข้าไปสิ ก็เลยกลายเป็นว่า หลังๆ มา ทั้งไม้คมแฝกเอย มนุษย์พันธุ์ข้าวเหนียวเอย ก็คือว่าต้องเหนือธรรมชาติเข้าไว้ หากเป็นคนดีแล้ว เธอก็จะได้รับพลังวิเศษล่ะ

อ่าห๊าาาาา คนดี คำนี้ศักดิ์สิทธิยิ่ง

เพราะหลังจากรัฐประหารปี 49 ไอ้ความคนดี ก็ส่งผลกับละครบู๊ เพราะมันมาในรูปแบบของ “เหนือเมฆ” ละครที่เป็นส่วนผสมอันลงตัวของการเป็นคนดี พลังเหนือธรรมชาติ และการเอามันสู้กับระบบอะไรซักอย่างที่ไม่เป็นธรรม โดยมีนักการเมืองชั่วอยู่เบื้องหลัง ซึ่งมันก็เคยมีกระแสรุนแรงถึงขั้นทำให้ละคร “เหนือเมฆ 2” โดนตัดจบเสียด้วย

เพราะว่าจริงๆ แล้วนะคะคุณขา ไอ้ละครบู๊ที่เราๆ เห็นกัน ไล่มาตั้งแต่อังกอร์จนมาถึงเนี่ย สิ่งที่มันมีเหมือนกันก็คือ ตัวเองจะลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่าง ยิงคนร้ายให้สนั่นหวั่นไหวได้เนี่ย มันก็ย่อมเกิดจากระบบที่มันไม่เวิร์กอยู่ก่อนละหนึ่ง ทุกๆ เรื่อง ตัวเองของเรา ก็มักจะเป็นตัวละครที่ยึดมั่นในหลักการหรือคุณธรรมความดีอะไรบางอย่าง แล้วก็โดนระบบเขี่ยทิ้ง จนต้องมาหนีตายเอาตัวรอดในภายหลัง พร้อมกับบวกพลังเหนือธรรมชาติแบบไทยอีกนิดหน่อย เครื่องรางของขลัง ยันต์สักอะไรก็ว่าไป ความไทยอ่ะเนอะ

แล้วก็ว่าบาป หลังจาก “เหนือเมฆ 2” โดนระงับการฉายไป ละครบู๊กลับเข้าสู่รูปแบบเดิม คือเอาความบู๊ไปผนวกเข้ากับชิงรักหักสวาทเหมือนเดิม รวมไปถึงย้อนให้ความบู๊ ความยิงกัน ให้ไกลห่างออกไปจากสังคมเมือง เราจึงจะเจอละครสมัยใหม่ ที่พูดเรื่องการยิงกันเพื่อปกป้องพื้นที่ของตัวเอง ความไร่นา ความผู้มีอิทธิพลท้องที่ตั่งต่าง ก็คือกลับไปไกลปืนเที่ยงเหมือนเดิม 

ส่วนความสกปรกในบ้านเมืองเราก็เหมือนจะลบเลือนหายกันไป

แต่ล่าสุด เราก็เพิ่งจะพบกับ Voice” ซีรีส์ไทยที่ได้พล็อตมาจากเกาหลี ที่เพิ่งจบไปเมื่อปลายปีก่อน ที่กลับมาสืบสวนอะไรกันอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้มีการบู๊อย่างเต็มรูปแบบ ที่ก็มีการกลับมาพูดเรื่องคาวๆ ในระบบได้อยู่ หลังจากที่ห่างหายไปนาน เราก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า ในยุคทีวีดิจิตอลนี้นั้น เราจะได้เห็นความบู๊กลับมาอหังการ์อีกรอบไหม

แต่ก็อย่างว่านะคะ จะบู๊ทีนึงผู้จัดก็ขนหัวลุกไปหมด ค่าเอฟเฟกต์ สลิง ก็ปาไปเท่าไหร่แล้ว ผู้จัดเจ้าเล็กก็สู้ยากเหมือนกันนะแม่ ก็คงต้องบู๊กับการหาเงินกันไปก่อน

เห้อ… ยากไปหมด

แต่ก็นะคะ ความบู๊แบบไทยไทย มันก็สะท้อนอะไรๆ มาให้เราเห็นแบบนี้นั่นแหละค่า 

 

เหยี่ยวเทย รายงาน

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ ยิงสนั่นหวั่นไหว “ละครบู๊” สะท้อนอะไรให้เราดูล่ะแม่?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook