รีวิว Bloodshot มาเวลาที่ผิด ชีวิตก็เศร้าไป
หลังจากที่สตูดิโอโซนี่ พิคเจอร์พยายามปลุกปั้นแฟรนชายส์ใหม่ๆขึ้นมาทีไร ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมาย ปี 2019 แฟรนชายส์หลายเรื่องกลายเป็นความล้มเหลวทางคำวิจารณ์และรายได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนังเปิดหัวปี 2020 อย่าง The Grudge ที่ดูเหมือนจะเป็นความหวังเล็กๆในการต่อยอดแฟรนชายส์ “ผีดุ” ก็เจอคำวิจารณ์ถล่มไปยับพอสมควร โชคยังดีเมื่อสิ้นสุดการฉายแล้วหนังสามารถทำรายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 49 ล้านเหรียญฯ จากต้นทุนในการสร้าง 10 ล้านเหรียญฯ
สำหรับ Bloodshot ที่เข้าฉายในช่วงเวลาที่โรคโควิด-19 กำลังเริ่มแพร่ระบาดและขยายตัวลุกลามเข้าไปในประเทศฝั่งยุโรปและอเมริกาอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อโรงภาพยนตร์ที่ต้องปิดทำการเป็นเวลาชั่วคราว ส่งผลให้หนังทำเงินในอเมริกาเหนืออยู่แค่ 9 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น ส่วนตลาดต่างประเทศทำรายได้ที่ 14 ล้านเหรียญฯ ทำให้ยอดรวมรายได้ ณ เวลานี้อยู่แค่ 24 ล้านเหรียญฯ เมื่อพิจารณาทุนสร้าง 45 ล้านเหรียญฯ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า Bloodshot จะกลายเป็นหนัง “ขาดทุน” อย่างแน่นอน
เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบโดยรวมของ Bloodshot แล้ว เราจะพบว่ามันอยู่ในกลุ่ม หนังอารัมภบทของตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ ที่มีความน่าสนใจ ประกอบกับตัวละครนี้ยังมีปูมหลังของตัวเองที่เป็นแรงขับเคลื่อนพฤติกรรมให้เขาเลือกจะออกปฏิบัติการเพื่อ “ล้างแค้น” ให้กับคนรักที่ถูกฆ่าตายไป ไม่เพียงเท่านั้นตัวละครบลัดช็อตยังมีความคล้ายคลึงกับซูเปอร์ฮีโร่จากมาร์เวล อย่างไอรอนแมน ที่ต้องใช้สิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนโลยีเพื่อกอบกู้ชีวิตของตัวเองให้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง แตกต่างแค่เพียงฐานะและหน้าตาทางสังคม ซึ่งบลัดช็อตดูเป็นรองกว่าหลายสิบเท่าตัว
ตัวละครบลัดช็อตของวิน ดีเซล จึงมีความดิบ พลุ่งพล่านทางอารมณ์ และวู่วามมากกว่าไอรอนแมน เพราะเขาขับเคลื่อนพฤติกรรมต่างๆผ่านความโกรธ จนกระทั่งเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เขาเริ่มใช้สมองขบคิดและประมวลผลว่า ที่จริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดภายในหัวของเขา อาจจะถูกใครสักคนควบคุมอยู่และหลอกใช้ เขาก็เริ่มสืบเสาะตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ว่าตกลงแล้วเขาเป็นใคร มาจากไหน และมีจุดประสงค์ใดในการดำเนินชีวิต
แม้ว่าหนังจะดูอุบความลับบางอย่างของตัวละครบลัดช็อต แต่ก็ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายของผู้ชมนัก ประกอบกับช่วงแรกของหนังก็จัดได้ว่าเนือยจนน่าหลับ แต่ก็มีการแทรกสอดฉากแอ็คชั่นเข้ามาเป็นระยะให้ผู้ชมไม่วูบไปคาเบาะ ส่วนไคลแมกซ์การต่อสู้ในช่วงท้ายเรื่อง ไม่ได้เป็นฉากยิ่งใหญ่มากมาย ซึ่งเป็นเหมือนการปูทางไปสู่ภาคต่อที่อาจจะตามมาในอนาคต แต่คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้ เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดและรายได้หนังที่ดูยังไงก็คงเป็นเรื่องยาก